จาก 300,000 บาท เป็น 30,000,000 บาท ภายใน 7 ปี

credit : http://pantip.com/topic/32712841

ผมอยากเขียนเรื่องราวเล็กๆน้อยๆนี้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ/แชร์ประสบการณ์ กับผู้ที่กำลังอยากเริ่มประกอบธุรกิจส่วนตัวที่ยังไม่รู้จะทำอะไร กล้าๆกลัวๆ
เคล็ดลับง่ายๆที่ทำได้จริงไม่ต้องมโน ไม่ใช่สานต่อธุรกิจพ่อแม่ แต่ self madeได้เอง อาจเป็นตัวเงินไม่มากสำหรับหลายๆท่าน แต่มันมากสำหรับผม เริ่มเลยนะครับ 


ก้าวที่ 1 สู่ความล้มเหลว
ระหว่างทางผมขับรถไปส่งของให้ที่บ้าน เห็นตึกแพลตินั่มเปิดจองทำเล ผมจึงเข้าไปทำเรื่องขอเช่า ผ่านไปสองเดือนอีกไม่กี่วันก็จะเปิดตึกล่ะ จึงแวะเข้าไปถาม สุดท้าย จนท บอกน้องไม่เคยมีหน้าร้านขายจึงไม่มีสิทธิ ผมก็หมดหวัง แต่ผมก็อ้อนวอน จนท เห็นว่าเหลืออยู่แค่สี่ห้องที่ทำเลไม่สวย เลยถามน้องจะเอาไหม สรุปผมก็ได้มาหนึ่งห้อง (นี้ละครับดาวนำโชคดวงที่หนึ่ง คือ คุณได้ทำเลทองก็มีชัยไปกว่าครึ่ง)
***
พอได้ปุ๊ปงานเข้า ใครจะช่วยทำ ผมจึงไปชวนให้พี่สาวลาออกจากงานประจำ แล้วให้ความหวังเข้าสุดฤิทธิ์ว่ามันจะเวิร์ค พี่สาวผมก็ร้องไห้ แล้วบอกว่าออกมาแล้วอย่าทิ้งกันนะ ผมก็บอกแน่นอน แต่ในใจผมยังไม่รู้จะเป็นไงเลย (คุณต้องมีหุ้นส่วนที่ความคิดพร้อมจะไปกับคุณ)
***
คำถามยอดฮิต แล้วผมจะขายอะไร ผมยังไม่รู้เลยจะขายอะไร มีเวลาอีกสามสิบวัน ผมจึงไปเปิดหนังสือเส้นทางเศรษฐีในมติชน จนไปเจอคอร์สสอนทำรองเท้า ผมจึงใช้เวลาสามสิบวันไปเรียนตัดรองเท้า ส่วนพี่สาวผมให้ไปเรียนตัดเย็บเสื้อยืด พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดไรขึ้น(ไม่มีการวางแผน แล้วไปตายเอาดาบหน้า คือความผิดมหันต์ตั้งแต่แรก)
***
สุดท้ายผมได้ออกมาเปิดโรงงานทำรองเท้าแตะ พนักงานสามคน(ทาวเฮาส์เล็กๆ) ผมต้องวิ่งวุ่นไปซื้อวัตถุดิบ แล้วกลับมาทำ แล้วไปส่งเข้าร้าน แถมต้องเฝ้าร้านอีก ชีวิตบัดซบมาก ชีวิตผมช่วงนั้น Loss in decade ไม่ได้เจอใครเลย (ถ้าคุณเป็นศูนย์กลางของการทำทุกสิ่ง คุณก็เตรียมตัวตายไปกับงานเลย)
***
ส่วนพี่สาวผมก็ไปจ้างเพื่อนเขาตัดเย็บ สกรีนแล้วออกแบบลายไทย เพราะน่าจะขายลูกค้าต่างชาติได้ โดยช่วงนั้นพี่สาวผมก็จะเฝ้าหน้าร้านเป็นหลัก เชื่อไหมครับว่าเดือนหนึ่งขายรองเท้าแตะได้วันละสี่ร้อย เสื้อวันละสองพัน คิดเอาครับจะรอดไหม(ถ้าคุณทำในสิ่งที่ไม่ถนัด มันจะออกมาเป็นขยะเต็มร้าน)
***
ผมฝืนแบบนี้มาหนึ่งปี ขอบอกใครบอกว่าเป็นเจ้านายตัวเองมันสบาย ขอบอกบัดซบมากๆ บางวันขายได้วันละสี่สิบเก้าบาท รองเท้าแตะหนึ่งคู่ ผมกลับมานั่งคิดวางแผนใหม่ว่าไม่ใช่ละ (ผมเริ่มวางแผนละ) กว่าจะเริ่มวางตอนนั้นขาดทุนไปละห้าแสน ผมจึงต้องประกาศปิดโรงงานทำรองเท้าแตะ พร้อมต้อง Lay Off`พนักงานทั้งหมด แต่เสื้อยืดลายไทยยังขายต่อไป(ถ้าคุณทำในสิ่งที่คุณอยากทำแต่ตลาดไม่ได้ต้องการ คุณก็จะได้ใช้มันเพียงคนเดียว)
***
ผมจึงเริ่มไปโบเบ้ สำเพ็ง โรงเกลือ นำสินค้ามาขายเปลี่ยนสินค้าไปกว่าสิบชนิด เช่น รองเท้าส้นสูง กระเป๋า เสื้อยืด เข็มขัด กางเกง ร้องเท้าผ้าใบ โดยสต๊อกบางส่วนก็เก็บไว้ที่โรงงานที่ยุบไป ก็เริ่มกลับมาขายได้แค่อยู่ไปวันๆ (ถ้าคุณขายสินค้าที่หาได้เหมือนกันทุกๆที่ ไม่มีความแตกต่าง คุณก็จะแค่อยู่ได้)
***
ช่วงนั้นผมก็มีเวลามาอยู่หน้าร้าน แล้วเริ่มจ้างเด็กมาขายหน้าร้าน เพราะเริ่มอยู่ตัว แต่ไม่มีกำไร วันๆขายได้วันละ5000-6000 ผมเคยคิดคนอื่นเค้าขายไงหว่า วันละแสน เชื่อไหมผมคิดไม่ออกเลย เพราะแค่หมื่นผมยังไม่เคยสัมผัส ชีวิตเหมือนจะราบเรียบ จนวันนึงผมแวะกลับไปเอาสต๊อกที่โรงงาน เชื่อไหม ไม่เหลือสินค้าใดๆในโรงงานเลย ผมโดนยกเค้า จากเด็กขี้ยาแถวนั้น ของหายหมด สายไฟ เครื่องเย็บจักร หมด หมด หมด ชีวิตดับสูญ
วันนั้นจึงได้มีโอกาสคุยกับพ่อ ถึงตอนนี้จะขาดทุนไปแล้วกว่าเจ็ดแสนแต่ลูกได้พยายามล่ะ (กำลังใจจากรอบข้างคือส่วนนึงที่คุณต้องมี)
***


จุดเปลี่ยนผัน PART2
ช่วงนั้นเข้าสู่ปีที่สาม ตึกแพลตนินั่มเข้าสู่ช่วงพีคสุดๆ ราคาห้องเช่าช่วงนั้นถูกปั่นกระจายจากนายหน้า ราคาห้องชั้นหนึ่งขายขาดที่15-20ล้าน แต่ขายเปลี่ยนมือได้ถึงราคา40-50ล้าน(ถ้าย้อนเวลาได้จะไปซื้อไว้ซักสามห้อง แหม่ๆหนึ่งล้านยังไม่มีเลย) ห้องที่ผมอยู่ชั้นสี่เป็นห้องที่เช่าโดยตรง เชื่อไหมมีคนมาขอเซ็งต่อห้องผมที่1,000,000บาท ผมแทบไม่อยากเชื่อ ผมเช่ามาฟรีแต่ขายได้ราคาขนาดนี้ ถ้าผมขายจากขาดทุนเจ็ดแสนจะกลับมากำไรสามแสน ผมคุยกับพี่สาวเราจะขายไหม (ความมุ่งมั่นคือหนทางแห่งชัยชนะ)
***
ช่วงเวลานั้นมีร้านค้าย้ายมาใหม่ ผมก็ใจจดจ่อว่าใครจะมา แล้วขายอะไร สุดท้ายมันคือร้านเสื้อยืด(ดาวนำโชคดวงที่สอง) ร้านเค้าย้ายมาจากจุตจักร แล้วมาเปิดสาขาเพิ่มที่ประตูน้ำ เชื่อไหมร้านเค้าขายดีมากๆๆ ขนาดที่ว่าลูกค้าเดินผ่านแล้วยังต้องคอหักกลับมาดู นั่นละคือจุดเปลี่ยนของชีวิตผม ผมเจอแล้วสินค้าในตำนาน สินค้าเสื้อยืด แต่ทำไมมันช่างขายดี (คู่แข่งคือตัวที่ทำให้คุณต้องปรับตัวตลอดเวลา)
***
ผมมานั่งวิเคราะห์ว่าทำไมเสื้อยืดเหมือนกันแต่จึงมีความแตกต่าง วันนั้นผมจึงได้เข้าใจว่าเสื้อยืดแบ่งประเภทย่อยๆได้อีก(คุณต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงตัวผลิตภัณณ์ที่คุณจะขาย)
***
หลังจากนั้นผมจึงไปค้นหาว่าที่ใดในประเทศไทยขายสินค้าประเภทนี้ ผมไปหาที่โบเบ้ สำเพ็ง เชียงใหม่ โรงเกลือ จนผมมาพบที่จตุจักร มีเป็นสามสิบร้านค้า เราไปอยู่บนที่ใดบนโลกใบนี้ต้องนาน (ถ้าคุณจะขายสินค้าใด คุณต้องรู้จักคู่แข่งคุณให้ทั่วทิศ)
***
ผมจะต้องทำไงกับสินค้าที่ตายในร้าน ผมจึงเริ่มขายเหมาได้กลับมา30%ขาดทุนกระจาย บางส่วนขายไม่ได้ก็เอาบริจาคหมด(ทุนยังไงก็ยังสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง)
***
ผมขอบอกเลย ณ จุดนี้ผมเลว ผมหน้าด้าน ผมไร้จรรยาบรรณ ผมเริ่มไปเอาสินค้าจากจตุจักรมาขาย (หลายคนอาจบอกว่าไร้จรรยาบรรณตรงไหน แค่คุณตั้งใจก๊อปร้านที่คุนขายแถวเดียวกันก็ผิดล่ะ) ผมต้องขอขอบคุณร้าน BITMAP ผมขอให้เป็นอาจารย์ผม และเป็นร้านเดียวที่ผมก๊อปแนวคิด(ถ้าคุณไม่ใช่สตีฟจ๊อป คุณไม่ต้องไปคิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขอให้คุณหาสินค้าที่ขายดีแล้วหาจุดต่าง)
***
หลังจากนั้นเจ้าของร้านBITMAP`มายืนด่าผมหน้าร้านว่าหน้าด้าน แต่ผมได้ทำไปแล้ว แต่เชื่อไหมตอนนั้นผมก็ขายดีแต่ไม่กำไร ผมรับมาหนึ่งร้อย ก็ขายส่งหนึ่งร้อย ขาดทุนค่าเดินทางไปเอาอีก(ถ้าคุณจะรวยต้องมีลูกค้าส่ง)
***
หลังจากนั้นผมก็เริ่มไปเอาของไม่ได้ละ เพราะร้านที่ผมไปเอาที่จตุจักรเป็นกลุ่มเพื่อนดียวกันกับBITMAP ผมจึงต้องไปหาร้านอื่นในจตุจักร แต่ก็เอามาขายเริ่มไม่ดีเท่าเพราะสวยไม่สู้ แล้วผมจะทำไงต่อ ผมจึงต้องเริ่มทำเอง ผมจะกลับไปใช้โรงตัดเย็บที่เก่าก็ไม่ได้ เพราะระบบยังไม่ใช่ผู้ชำนาญ ผมจึงเปลี่ยนทั้งระบบ(ระบบผู้ผลิตที่ดีจะทำให้สินค้าคุณมีคุณภาพ)
***

ผมจึงเริ่มรุก


กบกระโดด Part3
ทำไมผมผลิตเองแล้วยังขายไม่ดี ทั้งๆที่ผมก็เจอสูตรสำเร็จแล้วนิ (ถ้าคุณขายสินค้า ที่ไม่ได้สำรวจความต้องการจากลุกค้า ก็เป็นแค่ความอยากของคุณเอง)
***
หลังจากนั้นผมจึงมองเสื้อของผุ้ชายทุกคนที่เดินผ่านผม จนกลายว่าผมเป็นคนโรคจิตไประยะนึง (สำรวจ สำรวจ สำรวจ กลุ่มลุกค้า)
***
ผมจึงกลับมาถามตัวเองว่า ผมขายอะไร ผมขายใคร ทำไมลุกค้าต้องมาซื้อผม ทำไมลุกค้าจึงจะเปลี่ยนใจมาจากเจ้าอื่น ทำไมลุกค้าจึงจะซื้อซ้ำ(ตั้งคำถามเยอะๆ แล้วต้องตอบด้วยตัวเองให้ได้)***
ผมคงจบแค่ตรงนี้ ที่มีกำไรหลักหมื่น ไม่ขาดทุนแล้ว Happy Ending เพราะผมก็ชอบอะไรสบายๆComfort Zone
วันนึงพี่พัน(ดาวนำโชคดวงที่3) เพื่อนที่เคยเจอช่วงเรียนรองเท้ามาหาที่ร้าน แกเป็นเจ้าของร้านตัดผม(แกเป็นเกย์ควีน)ผมก็ชวนแกมาทำเสื้อร่วมกัน ผมจึงเปิดสาขา2 (พันธมิตรที่ดีช่วยส่งเสริมให้คุณโตเร็ว)
***
พอผมเปิดสาขา2ซักพัก ผมได้ออเดอจากดูไบ(ดาวนำโชคดวงที่4) ออเดอร12,000ตัว คิดเป็นเงิน1,000,000 ผมโชคดีโคตรๆกำลังจะรวยแล้ว แต่ปันหาผมมีเงิน500,000 จะไปทำออเดอหนึ่งล้านได้ไง ผมจึงขอเก็บมัดจำ30%แล้วเอาไปคำประกันกับร้านผ้า(เครดิตที่ดีจะช่วยให้คุณจับเสือมือเปล่าได้)
***
หลังจากนั้นผมกับพี่พันฮึกเหิมมาก จนขยายไปเปิดร้านสาขา3 สาขา4 สาขา5 สาขา6 ในแพลตินั่มในเวลา1ปี ช่วงนั้นโตเร็วสุดๆ เงินล้าน สองล้าน สามล้าน สี่ล้านมาจนนับไม่ทัน ในขณะนั้นมีร้านเสื้อผุ้ชายแค่30ร้านค้า (โอกาสมาแล้วต้องตีให้แตก)
***

จุดแตกหักของหุ้นส่วน


ช่วงวัยอาลัย Part4
หลังจากนั้นผมมีความเห็นพ้องกับพี่พันว่า โตแล้วต้องแตก แต่ในช่วงนั้นพี่พันแกไม่มีทุน ผมจึงต้องสนับสนุนแกเรื่องเงินทุน จึงให้แกยืมไป2ล้านบาท(โตแล้วต้องแตกเพื่อลดปัญหาแล้วขยายอิสระ)
***
หลังจากนั้น1ปี พี่พันแกไปเปิดสาขาในภาคกทม ภาคกลาง ภาคตะวันออก เป็นจำนวน25สาขาภายใต้แบรนด์chada yes ดอชะฏา ยอดขาย12ล้านต่อเดือน(ขณะนั้นยังไม่มีuniquo H&M )ส่วนผมไปเปิดที่มาบุญครอง กรุงทอง1 จตุจักร เจเจมอล เจ็งหมด (ถ้าคุณไม่มีทีมงานที่พร้อม อย่าเพิ่งขยาย)
***
ร้านที่แพลตผมกำลังจากตาย เนื่องจากยอดขายรอบนอก25สาขากำลังทำลายจุดศุนย์กลาง ผมจึงคุยกับพี่พันตรงๆ ว่าผมขอสิทธิในแพลต6สาขา แล้วอีก25สาขาพี่ดูแลไป (ผมกำลังจะตายต้องดิ้นรนเพื่อความอยุ่รอด)
***
ผ่านไป2ปี พี่พันล้มละลาย พร้อมหนี้สิน5ล้าน แล้วก็ไม่สบาย จากโลกนี้ไป ผมจึงอโหสิกรรมหนี้ทั้งหมด แต่แกได้ทิ้งวิชาไว้ให้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสื้อชิ้นพิเศษ(ดาวนำโชคดวงที่5) ที่ทำเงินให้ผมอีก10ล้าน
พี่พันคืออาจารย์อีกคนที่สอนให้ผมรุ้จักการทำธุรกิจ ผมไม่เคยลืมบุญคุณคนที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ 
1.พ่อแม่พี่สาว
2.คุ่แข่ง BITMAP ซักวันต้องตอบแทน ***
3.พี่พัน ขออโหสิกรรมหนี้สินให้ทั้งหมด 
4.ทีมงาน
5.ลูกค้า
หลักข้อคิดที่ได้จนทำให้พบกับคำว่ากำไร
-ให้ผลิตในสิ่งที่ลุกค้าต้องการ ไม่ใช่ที่คุณต้องการทำ
-สำรวจ สำรวจ สำรวจ ความต้องการลุกค้า และคุ่แข่งเสมอ
-คุ่แข่งจะทำให้คุณพัฒนา
-เวลาขายไม่ดี อย่าโทษตลาดให้ดูปัญหาจากตัวเอง ให้โทษตัวเองว่าเราได้ปรับปรุงหรือยัง
-ถ้าคุณจะรวยได้ต้องมีลุกค้าส่ง เพราะจะมีแรงขยันอีก10มือ
-คุณต้องสร้างระบบที่ดี แล้วจะเพิ่มศักยภาพ
-จงรักษาcredit
-ถ้าคุณหยุด เท่ากลับถอยหลังให้คุ่แข่ง

ช่วงขาลงธุรกิจ ทดถอย หมดไฟ ไร้พลัง ผมกำลังจะตายจากอาการป่วย


ปลง ปล่อยวาง ไร้พลัง Part5(บทสรุป)
ช่วงธุรกิจที่6 ช่วงนั้นยังเป็นช่วงกอบโกย ลูกค้าที่ปลีก ส่งต้องยืนรอต่อแถวเอาสินค้า(คิดแบบกาเร็ตปอปคอร์น 555 เวอร์ไป) จะไม่ขายดีได้ไง มีร้านเสื้อผุ้ชายประมาณ50ร้านค้า แล้วสินค้าผมยิ้มโคตรโดนตลาด(สินค้าที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วมันคือเพชร)
***
เย็นวันนึงระหว่างขายผมยืนไม่ได้ ผมต้องนอนไปที่พื้นของร้าน ผมไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อไปทั้งตัว สรุปผมเป็นไวรัสบีตับอักเสบขั้นรุนแรง ผมใช้เวลารักษาอยุ่6ด ระหว่างนั้นผมไม่มีกำลังใจทำ ไม่มีแรงอยากจะคิด ผมบอกตัวเองขอย้อนกลับไปวันที่มี3แสน แล้วสุขภาพกลับมาแข็งแรง ผมกำลังกลัวตาย(สุขภาพสำคัญกว่าเงิน)
***
ช่วงนั้นผมจึงลดเหลือ4สาขา ผมหมดไฟ ไร้พลังต่อสู้ แต่ความซวยที่ยิ่งใหญ่กำลังมาเยือน แพลตตินั่มเปิดตึกสอง แล้วให้ลุกค้าที่ขายรองเท้า กระเป๋า เครื่องหนังย้ายไปตึกใหม่ทั้งหมด. ด้วยสัญชาติญาณที่ชำชองในแพลต ผมรุ้ละหายนะกำลังมาเยือน(คุ่แข่งที่ไม่ต้อนรับกำลังมา)
***
ห้องในแพลต ชั้น3-4 ว่าง300-400ห้อง เกิดการถ่ายเท. เกิดอะไรขึ้นรุ้ไหมครับ แพลตินั่มจะทำชั้น4ให้เป็นชั้นเสื้อผุ้ชาย หมายถึงว่า จากคุ่แข่ง50ร้านค้า จะกลายเป็น400ร้านค้าในทันที(เสือหลับกำลังจะตื่น)
***
ผมรุ้ละว่าอะไรจะเกิดในช่วงถ่ายเท ในช่วงปีที่8-9ผมจึงตักตวงความสุขสุดท้าย ก่อนที่ตลาดจะเป็นRED OCEAN ตลาดที่แข่งแต่ราคา หาความต่างลำบาก.(สินค้าที่ทำถ้าไม่มีBarrier of entry ก็ต้องตายจาก)
***
บทสรุป เกิด ตั้งอยุ่ ดับไป ไม่มีอะไรจีรัง

ขอบทุกทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่าน ติดตาม หวังว่าจะได้อะไรบ้างนะครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Cast Away จากภาพยนต์สู่เรื่องจริง : การต่อสู้ของมนุษย์เพื่อเอาชีวิตรอดกลางมหาสมุทร

ผมมีอะไรเล่าให้ฟัง กับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือน...สำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้

ฉันชื่อ "โอกาส"