บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม, 2013

ปลาทูไหม้

รูปภาพ
แม่ของผมชอบทำอาหาร... คืนหนึ่งหลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราปกติ ที่โต๊ะอาหาร แม่วางจานที่มีปลาทูไหม้เกรียม บนโต๊ะต่อหน้า พ่อ และทุกๆคน.... ผมรอว่าแต่ละคนจะว่าอย่างไร..... แต่...พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตา กินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง คืนนั้นหลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า แม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูไหม้... และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย...ผมชอบปลาทูทอดเกรียมๆ...อร่อยมากจ๊ะ...ที่รัก" คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจ และไปกอดพ่อ และถามพ่อว่า พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ จริงๆ เหรอ พ่อกอดผมไว้ และ ตอบว่า.... "แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน...   ปลาทูไหม้ 1 ตัวไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดว่ากัน ต่างหากที่จะทำร้ายกัน" ชีวิต เต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ และแต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ ตัวผมเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ลืมวันเกิดภรรยา วันครบรอบวันแต่งงาน เหมือนกับคนอื่นๆ แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้ ในช่วงชีวิตคือ..... การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และการเลือกที่จะยินดีกับความ

อเมริกันราเม็ง

รูปภาพ
อิวาน ออร์กิน เปิดร้านราเม็งในญี่ปุ่น... นี่คงไม่ใช่เรื่องประหลาดอันใด หาก อิวาน ออร์กิน ไม่ใช่ชาวอเมริกัน ฝรั่งเปิดร้านราเม็งในญี่ปุ่นฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหลพอๆ กับชาวเอสกิโมหรือชาวบ้านในป่าอเมซอนมาเปิดร้านแจ่วอีสานหรือต้มยำกุ้งกลางเมืองกรุงเทพฯ นี่คือการเหยียบถิ่นเสือดีดีนี่เอง! ทว่านี่เป็นเรื่องจริง! ชาวคนอเมริกันผู้นี้ไปญี่ปุ่นเปิดร้านราเม็งที่โตเกียว ชื่อร้าน อิวาน ราเม็ง อิวานเป็นชาวนิวยอร์ก เคยทำงานเป็นพ่อครัวในภัตตาคารที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในแมนฮัตตัน ครั้งหนึ่งเขาไปเยือนญี่ปุ่นและหลงเสน่ห์ประเทศนั้น รวมทั้งสตรีผู้หนึ่ง ราเม็งเป็นธุรกิจที่ทำกันกว้างขวาง เป็นอาหาร 'จำเป็น' ของชาวญี่ปุ่น เปรียบกับข้าวราดแกงของคนไทย ทว่าฝรั่งริเปิดร้านราเม็งเป็นเรื่องที่ทุกคนมองว่าบ้าอย่างยิ่ง เนื่องจากเฉพาะในโตเกียวมีร้านราเม็งนับพันร้าน แต่ละร้านมีจุดแข็งของตนเอง หลายคนบอกเขาว่า "จะไหวหรือ?", "บ้าน่า!", "เอ็งคิดอะไรของเอ็งวะ?" เป็นความจริงแน่นอนว่าเขาเป็นบ้า! หากแต่เป็นความบ้าในการคิดสูตรราเม็งที่อร่อยที่สุด เขาทำงานอย่างจริงจัง ทำเส้นหมี่เองจากแป

ลาตกหลุม

รูปภาพ
มีลาตัวหนึ่ง ตกลงไปในหลุมลึก เจ้าของคิดดูแล้ว ค่าใช้จ่ายที่จะช่วยมันขึ้นมาไม่คุ้ม ก็เลยจากมันไป ทิ้งให้มันอยู่อย่างนั้นอย่างเดียวดาย ทุกวันยังมีคนทิ้งขยะลงไปในหลุมอีก ลาโมโหมาก โกรธตัวเองที่ทำไมโชคร้าย ตกลงมาในหลุม เจ้าของก็ทิ้งมันไป ตายยังไม่ให้มันตายสบายหน่อย แต่ละวันยังมีขยะโยนลงมาข้างตัวมันมากมาย  แต่วันหนึ่งลามันคิดขึ้นได้ มันตัดสินใจเปลี่ยนทัศนคติในการดำเนินชีวิตของมัน มันจะเหยียบขยะไว้ใต้ตีนมันทุกวัน แทนที่จะให้ขยะถมทับตัวมัน และหาเศษอาหารจากขยะประทังชีวิตของมันให้อยู่รอด วันเวลาผ่านไป ขยะหนุนสูงจนมันหลุดพ้นจากปากหลุม ขึ้นมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งหนึ่ง อย่าท้อถอยกับความไม่สมหวังของชีวิต อย่าน้อยใจที่ผู้ชายของคุณรวยสู้ของคนอื่นไม่ได้ อย่าน้อยใจที่ผู้หญิงของคุณไม่สวยพอ อย่าน้อยใจที่คุณไม่มีพ่อที่ดีคนหนึ่ง อย่าน้อยใจที่งานของคุณไม่ดี เงินเดือนน้อย อย่าน้อยใจที่ความสามารถของคุณไม่มีใครค้นพบ ชีวิตความเป็นจริงมีหลาย ๆ เรื่องที่ไม่สมหวัง ต่อให้ในชีวิตคุณ ๆ ได้รับแต่ขยะ คุณก็สามารถเหยียบขยะไว้ใต้ตีนคุณ แล้วขึ้นสู่จุดสูงสุดในโลก ในโลกนี้ ไม่มีใครสนใจว่าคุณจะขึ้นมาได้เพ

คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องเรียนเก่งจริงหรือไม่ ?

รูปภาพ
.....จากงาน This is my future 2013 - 9 สุดยอดคลังสมองประเทศไทย เตรียมคนไทยไปเวทีโลก เสวนาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจจาก 9 มืออาชีพใน 9 ธุรกิจ โดยมีผู้บริหารระดับสูงที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจมาแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เยาวชนได้พัฒนาความรู้ นำหลักแนวคิดมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง พร้อมก้าวเข้าสู่การแข่งขันหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น ได้กระแสตอบรับจากผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1,000 คน คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์พูดดี 11 นาที ได้เนื้อหาและแรงบันดาลใจยิ่ง ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่าต้องเร่งยกระดับการศึกษาของชาติ แต่คุณอนันต์ ตั้งคำถามว่า คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องเรียนเก่งจริงหรือไม่ ? ประเทศไทยเน้นเรื่องการศึกษามาก จนลืมเรื่องความสำคัญของการฝึก "นิสัย" คนไทยควรจะมีนิสัยอย่างไร จึงจะเจริญก้าวหน้าในชีวิต คนที่มีนิสัยดีเหมือนเรามีเครื่องจักรที่ดีในตัว ไม่ว่าไปทำอะไรก็จะดี - อนันต์ อัศวโภคิน คุณอนันต์ เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์ เล่าว่า เกิดมาในครอบครัวยากจน ในบ้านมีคนมากถึง 31 คน ถือเป็นสถานที่สำคัญฝึกนิสัยให้กับเข

อาม่ากับชามใบเก่า

รูปภาพ
ครั้งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่ง มีสามี ภรรยา ลูกชาย และอาม่าแก่ๆ คนหนึ่ง อาม่าแก่มากและไม่แข็งแรง มีอาการมือสั่นตลอดเวลา ทำให้ถือของลำบาก โดยเฉพาะเวลาทานข้าวร่วมกับครอบครัว อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบนโต๊ะตลอดเวลา ลูกสะใภ้อาม่าก็รู้สึกหงุดหงิดและรำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษากับสามีว่า นางทนไม่ได้ที่เห็นอาม่าทานข้าวหกเลอะเทอะเกลื่อนโต๊ะ มันทำให้นางกินข้าวไม่ลง สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถหาวิธีทำให้มืออาม่าหายสั่นได้ จากนั้น ไม่กี่วัน ลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกว่า “จะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ นางทนไม่ได้แล้ว” หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก สามีก็ยอมแก้ไขตามคำแนะนำของภรรยา นั่นคือ… เมื่อถึงเวลาทานข้าว เขาก็จัดโต๊ะให้แม่นั่งแยกต่างหากตามลำพังคนเดียว โดยใช้ถ้วยข้าวราคาถูกๆ บิ่นๆ เพราะอาม่าชอบทำถ้วยแตกบ่อยๆ เมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้ นางนึกถึงอดีตที่นางเคยเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา นางไม่เคยปริปากบ่น หรือย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก.. เวลาที่ลูกชายเจ็บไข้ นางก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี.. เวลาที่เขามีปัญหา นางก็ช่วยแ

เทียนไข 2 เล่ม

รูปภาพ
“…..หญิงโสดคนหนึ่งย้ายบ้าน มาใหม่ พบว่า. ข้างบ้านเป็น ครอบครัวยากจนประกอบ ด้วยแม่หม้ายและลูกอีกสองคน อยู่มาคืนหนึ่ง ไฟฟ้าเกิดดับ  หญิงคนนั้นจึงจุดเทียนไข  สักพักมีคนมาเคาะประตู เป็นเด็กข้างบ้านนั่นเอง  เด็กถามอย่างตื่นเต้นว่า  “คุณน้า.ในบ้านมีเทียนไหมคับ?” หญิงโสดคิดในใจ  “บ้านเขาจนถึงขนาดไม่มี เทียนไขรึ ..ช่างหัวมันเถิด  เดี๋ยวได้คืบ จะเอาศอก”  หญิงจึงตอบเด็กแบบมะนาว ไม่มีน้ำว่า ..“ไม่มี!” ขณะที่เตรียมจะปิดประตูส่งแขก  เห็นเด็กหน้าตายิ้ม  “นึกแล้วว่าไม่มี”  พอพูดจบ เด็กควักเทียนไข  2 เล่มออกจากอกเสื้อ  “แม่ฉันห่วงว่าคุณน้าอยู่คนเดียว  คงไม่มีเทียนไข จึงเอามาให้ คุณน้า 2 เล่ม” ทันใดนั้นเอง...หญิงสาวรู้สึก สะเทือนใจจนน้ำตาคลอ  พร้อมกอดเด็กไว้แน่น...” @…บางทีเราก็ไม่ได้มองโลกจากมุมอื่นบ้าง มองแต่มุมตัวเอง  แล้วก็คิดเหมาเอาว่าคนอื่น ก็คงคิดเหมือนเรา … ความมีน้ำใจ ยังคงหาได้ไม่ยาก... ลำบากเพียงแค่เริ่มต้นจากตัวเรา... เริ่มตั้งแต่วันนี้นะ... หยิบยื่นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ  น้ำใจอันงดงามให้แก่คนรอบข้าง เถิด เหมือนดังมอบเปลวเทียนแห่ง ความสว่างไ

เรื่องของคนทอดไก่

รูปภาพ
……. มีชายคนหนึ่ง พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบเขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะอายุ 16 ปี ตอนอายุ 17 ปี เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้งเขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคนแต่ชีวิตคู่ของเขาก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นานนัก อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไปเพราะทนใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้ช่วงอายุ 18-22 ปี เขาประกอบอาชีพเป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลวแต่เขาก็ยังต่อสู้กับชีวิตด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลวเหมือนเดิมเขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกมาหันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีแล้วเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุดเขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว) ……. แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่องไปเสียหมดสิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหารดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขาชีวิตที่ร้านกา

Homeless to Harvard

รูปภาพ
ลิซ เมอร์เรย์ : จากเด็กจรจัด สู่ฮาร์วาร์ด .. จากเด็กข้างถนน ไร้ที่อยู่อาศัย ไม่มีเงินแม้แต่เพนนีเดียวในกระเป๋า แต่ด้วยหัวใจใฝ่ดี เธอสามารถเข้าไปเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ลิซ เมอร์เรย์ ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่วัยรุ่นผู้ด้อยโอกาสจำนวนมาก เธอเกิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ปี ค.ศ. 1980 อาศัยอยู่กับพี่สาวและพ่อแม่ขี้ยาในอพาร์ตเม้นท์สกปรกในย่านชุมชนแออัด เขตบร็องซ์ รัฐนิวยอร์ก เมื่ออายุ 9 ขวบ เธอต้องหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการตระเวนขออาหารตามร้านชำ ขณะที่พ่อและแม่เสพโคเคนอยู่กับบ้าน เมื่ออายุ 15 ปี พ่อย้ายเข้าไปอยู่สถานพักพิงสำหรับผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ส่วนแม่ตายเพราะติดเชื้อเอดส์ ลิซกลายเป็นเด็กข้างถนน ไม่มีที่ซุกหัวนอน กลางคีบแอบงีบหลับบนม้ายาวในสวนสาธารณะ สถานีรถไฟใต้ดิน หรือโชคดีก็ได้นอนโซฟาบ้านเพื่อน ในวันฝังศพแม่ ลิซยืนดูอยู่ห่าง ๆ ด้วยความอนาถใจ ร่างของแม่ถูกใส่ในโลงกระดานไม้อัด แม้แต่ป้ายหน้าหลุมศพก็เขียนด้วยปากกาเคมี เธอเริ่มครุ่นคิดถึงอนาคตของตัวเอง บางคนอาจท้อแท้กับชีวิต บางคนอาจใช้เป็นข้ออ้างที่จะเลือกทำชั่ว แต่ลิซ เมอร์เรย์ ใช้ความล้มเหลวของพ่อแม่เป็นเครื่อ

ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนาน ๆ นะครับคุณน้า

รูปภาพ
เรื่องราวในเน็ท นำมาทำเป็นโฆษณาแล้ว แต่เนื้อเรื่องอาจจะต่างกันบ้าง โดย truemove เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า "อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"             "ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันล่ะ"             ป้าคนนั้นชื่อว่า "ป้าหนอม" เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว             เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือแม่จึงเดินเข้าไปถาม             "พี่หนอม มีไรเหรอคะ"             "ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มัน

คุกกี้ 1 ห่อกับการตัดสินคน

รูปภาพ
...ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทางเธอตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1เล่ม และคุกกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลางๆเธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุกกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลางๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใครว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้างๆเขาหรือไม่   สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันทีละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธแต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุกกี้และเฝ้ามองนาฬิกา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการ ศึกษาแล้วละก็....ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกันเมื่อคุกกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำยังไงต่อ ชายหนุ่มค่