5 วัน 5 คืน เพื่อคืนสันติภาพที่แท้จริง :(5 days, 5 nights to bring back a real peace)
ตอนที่ 1: "3000 ไมล์-4,500 กิโลเมตร ภายใน 5 วัน”
ก่อนผมจะเป็นอารามบอยประจำอยู่ที่วัดพระธรรมกายนิวเจอร์ซี่ ในเดือนกันยายน 2543 ผมถูกหลวงพ่อส่งมาร่วมทีมกับพี่ๆอีก 4 ชีวิต ที่ต่างก็เป็นอารามบอยและอารามเกริล ( Arram Boy and Arram Girl) เหมือนกัน เราทั้ง 5 ชีวิตมาเพื่อภารกิจทำอเมริกาให้รู้จักสมาธิและความสุขภายใน ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเราจะไปนำฝรั่งนั่งสมาธิอะไรนะครับ แต่เรามาเป็นทีมสนับสนุนครูสอนสมาธิ 2 ท่านที่หลวงพ่อมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้ ครูโรเบิร์ต มาวสัน และครู ดอน แบรี่ ทั้งสองท่านเป็นชาวนิวยอร์ค ที่มีผลการนั่งสมาธิที่ดีในระดับที่หลวงพ่อรับรองให้สอนคนอเมริกันได้ เรา 5 ท่านจะว่าไปก็เป็นผู้พาครูทั้งสองคน ไปสอนสมาธิให้กับคนอเมริกันให้มากที่สุด เพื่อให้ชาวตะวันตกรู้ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่เกิดจากการเสวยความสุขจากวัตถุสิ่งของและความสะดวกสบายต่างๆ แต่คือความสงบของใจ ที่เป็นเสมือนขุมพลังชีวิตที่พามนุษย์ทุกคน ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต และจะเป็นความสุขที่จีรัง ยั่งยืนนั่นเอง ฉะนั้นจึงเป็นที่มาของการเดินทาง 5 วัน 5 คืน เพื่อเดินทางไปสอนสมาธิให้กับชาวอเมริกัน และหาประสบการณ์เรียนรู้ สมาธิแนวต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการสอนสมาธิของเราอีกด้วย
ประมาณเดือนธันวาคม 2543 เราเริ่มออกเดินทางกันโดยมีเป้าหมายคือ รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐที่อยู่ทิศตะวันตกสุดของประเทศ มีพื้นที่พอๆกับประเทศไทย เรา 5 ชีวิต นัดกับครูบอบ (โรเบิร์ต) และครูดอน ทีรัฐแคลิฟอร์เนีย ทั้งสองท่านเดินทางไปเครื่องบิน แต่พวกเราผจญภัยโดยรถแวนโตโยต้าสีเขียว รุ่นพรีเวียร์ อายุราวๆ 5 ปี ได้ เป็นยานพาหนะนำเราไปที่นั่น ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 5 วัน ตลอด 5 วัน 5 คืน เป็นการผจญภัยครั้งแรกของผมและทีมงาน ที่ได้เยี่ยมรัฐต่างๆในอเมริกาด้วยการขับรถจากฝั่งตะวันออกถึงตะวันตก ของประเทศ ทั้งหมดถึง 11 รัฐ รวมระยะทางกว่า 3 พันไมล์ หรือ ประมาณ 4,800 กิโลเมตร ฟังดูอาจจะดูเหมือนเป็นการเดินทางที่หฤโหด แต่เราก็เดินทางแบบสบายๆ แวะไปยังสถานที่สำคัญๆของเมือง และสถานที่สอนสมาธิแนวต่างๆ ค่ำไหน ก็นอนที่นั่น มีผม และพี่เอก อุบาสกอีกท่านนึง คอยผลัดกันขับรถ คนละ 2 ชม บ้าง 3 ชม บ้าง สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือ เราเดินทางไปกับกระดาษเป็นปึกๆ และเรื่องราวของอเมริกา
ตอนที่ 2: เทคนิคการขับรถให้นิ่ม และปลอดภัย
กระดาษที่ว่าเป็นปึกๆนี้ก็คือ บรรดาข้อมูลแผนที่ และสถานที่สำคัญที่เราจะไปแวะระหว่างทางที่จัดสอนสมาธิแนวต่างๆ และที่สำคัญคือ โรงแรม ที่เราจะต้องนอนค้างกัน ก่อนเดินทางต่อไปอีกวันรุ่งขึ้น พี่อุบาสิกาจึงต้องคอยเป็นผู้ถือข้อมูลที่เป็นปึกๆนี้ ไปพร้อมๆกับการเดินทาง ผมเองใช้ประสาทสัมผัสแทบทุกส่วน ตาก็ต้องมองถนนและแผนที่ หูก็คอยฟังพี่เขาคอยบอกเส้นทางว่าจะต้องเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาตรงไหนบ้าง เท้าก็ต้องเหยียบคันเร่ง มือก็จับพวงมาลัย แต่ใจต้องเป็นสมาธิกับการเดินทาง ผมได้รับการสอนจากหลวงพ่อและหลวงพี่อันหนึ่งว่า เวลาเราเดินทางไปไหน หากเราขับรถ เราต้องอยู่ในบุญและความดีมากๆ เพราะเราไม่รู้ว่าวิบากกรรม จะมาตามทันเราเมื่อไหร่ ฉะนั้นใจต้องเป็นสมาธิและอยู่ในบุญ เทคนิคที่ผมใช้ก็คือ การนึกถึงองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ท่านไปกับเราด้วย ทั้งเราและรถอยู่ในกลางพระพุทธรูปแก้วใส ทำแค่นี้ ใจก็เป็นสมาธิในตัว มันแปลกที่ว่า การขับรถของเราจะนิ่มนวล และปลอดภัย กว่าการไม่ได้นึกถึงพระพุทธรูปคลุมตัวเรา... และอีกเทคนึงคือ การอธิษฐานจิต ก่อนออกรถ ว่า ขอให้เราอย่าไปชนใคร ขออย่าให้ใครมาชนเรา และที่สำคัญคือขออย่าให้ใครมาหมดบุญในรถของเรา...แค่นี้ทั้งเราและทุกคนในรถก็จะปลอดภัยในการเดินทาง
เราเดินทางจากรัฐนิวเจอร์ซี่ มุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือผ่านรัฐนิวยอร์ค และเพนซิลวาเนีย ช่วงนี้เป็นพื้นที่ของความหนาวเย็นของฤดูหนาวในฝั่งตะวันออก สองข้างทางจะเป็นต้นไม้หลากหลายสีสัน ดูสวยงาม เป็นคลื่นขึ้นลง ตามภูมิประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีแดง เขียว และน้ำตาล ต่างสลับกันโชว์ความงามของมันอย่างเต็มที่ ราวกับว่าจะให้นักเดินทางเกิดความเพลิดเพลินในการมอง และมีความสุขระหว่างอยู่บนถนนอย่างนั้น.. ทุกๆ 2-3 ชม เราก็จะหยุดพักเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนคนขับ ผมก็ถือโอกาสยืดเส้น ยืดสาย งีบหลับสลับกับพี่เอก ที่จะช่วยขับในกะต่อไป.. จากรัฐเพนซิลวาเนีย ก็เข้าสู่รัฐโอไฮโอ รัฐนี้อารมณ์จะถูกเปลี่ยนจากต้นไม้ใบสีต่างๆ มาเป็นทุ่งหญ้า และฟาร์มสัตว์ พวกวัวบ้าง แกะบ้าง เห็นเป็นทิวกว้างขวาง ทุ่งหญ้าเป็นสีเหลือง เพราะความหนาวทำให้มันต้องผลัดใบ แต่ผมก็สังเกตเห็นว่า หญ้าเหล่านี้ถูกตัด และม้วนเป็นก้อนกลม คล้ายๆกับแยมโรล วางเป็นจุดๆ ตลอดทุ่งหญ้านั้น ก็นึกสงสัยอยู่ว่าเขาจะเอาไปทำอะไร
ตอนที่ 3: ชิคาโก เมืองแห่งลมแรง (Windy City) แต่อบอุ่น
ผมมารู้ตอนหลัง ว่าหญ้าสีเหลืองทองที่ถูกเกี่ยวแล้วม้วนเป็นแยมโรล สูงท่วมหัว มันก็คือ อาหารยามหนาว ของพวกปศุสัตว์ ได้แก่ ควาย และม้า ซึ่งทำรายได้ให้กับชาวไร่ข้าวบาเลย์ เป็นอย่างดี.. และแล้วไม่นาน เราก็เข้าสู่เมืองที่มีชื่อเสียงของโลกเมืองหนึ่ง ที่เป็นที่ตั้งของตึกที่เคยสูงที่สุดในโลก คือ ตึกเซียร์ ( Sear) และมีทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ ทีมีคลื่นเหมือนน้ำทะเล ชื่อ มิชิแกน ( Lake Michigan ) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีลมแรง หรือ Windy City ทำให้ฤดูหนาว อาจจะเผลอดึงหูตัวเอง หลุดติดมือมาก็ได้ ( เขาว่ามาอย่างนั้นนะครับ) เมืองนั้นก็คือ ชิคาโก ( Chicago) เมืองที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา อยู่ในอาณาเขตของรัฐอิลลินอยส์ ( Illinois) และเป็นที่ตั้งของวัดพระธรรมกายชิคาโก อีกด้วย และแน่นอนว่า เราจะไปแวะที่วัด เพื่อหาที่พักและเยี่ยมพระอาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่นั่นด้วย สิ่งที่ผมจำได้ก็คือ วัดที่นี่ได้ซื้อจากโบสถ์คริสต์ และได้นำมาใช้เป็นวัด ให้ชาวไทยและชาวอเมริกันมาสั่งสมบุญและปฏิบัติธรรมกัน จุคนได้ราวๆ 70-100 เห็นจะได้ ผมและทีมงาน ได้อาศัยวัดพักช่วงคืนที่ 1 หลังจากเดินทางจากรัฐนิวเจอร์ซีมานานกว่า 10 ชม. รุ่งขึ้นเราก็ทำการสำรวจพื้นที่รอบเมืองชิคาโก ด้วยการขับรถรอบเมือง ผ่านใจกลางเมือง ตึกเซียร์ และหยุดอยู่ที่ทะเลสาบมิชิแกน เพื่อเก็บอารมณ์สบายท่ามกลางความหนาวเย็นของอากาศที่ติดลบ และลมแรงที่พัดเข้าสู่ฝั่งละลอกแล้วระลอกเล่า ทะเลสาบนี่กระมัง ที่ทำให้ชิคาโก ได้ชื่อว่า เป็นเมืองแห่งลมแรง หรือ Windy City แต่ผมไม่ค่อยมีอารณ์สบายมากนัก เพราะใส่เสื้อผ้ามาไม่กี่ชั้น... และแล้วเราก็ต้องเตรียมตัวเดินทางกันต่อตามเส้นทางสายสันติภาพ สู่แคลิฟอร์เนียกันต่อไป สำหรับการอยู่ที่ชิคาโก แม้อากาศของเมืองจะหนาวเหน็บ แต่ผมสัมผัสถึงความอบอุ่นของการต้อนรับของหลวงพี่และเจ้าหน้าที่ที่นี่ ที่คอยดูแล ให้ความสะดวก และทำอาหารอร่อยๆให้ทาน เป็นอะไรที่ประทับใจจริงๆครับ มันทำให้ลมที่แรง กลับอ่อนแรง และสงบนิ่ง ด้วยจิตใจของนักปฏิบัติธรรมนั่นเอง เป้าหมายต่อไปของเราคือ การไปเยี่ยมศูนย์กลางการเผยแผ่คริสศาสนานิกาย มอร์มอน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมือง Salt lake City รัฐ Utah ซึ่งใช้เส้นทางสาย 80 ระยะทางกว่า 1,400 ไมล์ หรือประมาณ 2,240 กิโลเมตร
ตอนที่ 4: ผจญภัยทุ่งหญ้า ภูเขาหัวโล้น และทะเลทราย
ระยะเวลาต่อจากนี้ไปกำลังจะเข้าสู่ดินแดนแห่งความเว้งว้าง 2 รัฐตอนกลางของประเทศ คือ รัฐ Iowa และ Nebraska บนถนนระหว่างรัฐ 80 เส้นทางนี้ขอบอกว่าธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา ที่ว่าธรรมดา นั้นคือ มันเป็นเส้นทางสายตรงซะส่วนใหญ่ 80-90% เป็นถนนเส้นเดียวที่มองไปสุดลูกหูลูกตา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ สองข้างทางของเส้นทาง มีความหลากหลายของภูมิประเทศ ที่ทำให้เราคลายเมื่อยไปได้เหมือนกัน รัฐ Iowa และ Nebraska เป็นรัฐที่ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ พวกควาย ( American Buffalo) สลับกับความแห้งแล้งของทะเลทราย ที่มีภูเขาหัวโล้นสลับกันไปเป็นช่วงๆ หลังจากเราขับผ่านไร่ข้าวโพด มาสักพัก เราก็พบว่า รถของเราเหมือนจะทะลุมิติมาอีก มิติหนึ่ง ทุกคนในรถแปลกใจมาก ผมเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีเส้นทางแบบนี้อยู่ในโลก นอกจากเราจะพบว่ารถเราขับอยู่คันเดียวบนถนนที่มองไม่เห็นปลายทางแล้ว เรายังเห็นซากยางรถยนต์ที่ขาดกระเด็นกระดอนตกตามถนน บางทีก็เป็นเศษเหล็ก ชิ้นส่วนของรถยนต์ตกอยู่ด้วย อากาศตอนนั้นร้อนขึ้นมาก ผมนึกเป็นห่วงรถพรีเวียร์คู่ชีพของเราขึ้นมาว่า จะทนขับต่อไปได้ไหม ขับไปสักพัก เราก็ดีใจกันมาก เพราะมีป้ายบอกข้างทางว่า จะมีปั้มน้ำมันอยู่ Exit ต่อไป เราจึงแวะเข้าห้องน้ำและซื้อขนมติดไว้ในรถ ที่ปั้มน้ำมันนี้มีป้ายบอกให้รู้ว่า อีกประมาณ 167 ไมล์ จะถึงปั้มต่อไป นั่นหมายถึงว่า คุณต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังซะ ไม่งั้นอาจจะเป็นเหมือนซากชิ้นส่วนรถ หรือยางรถที่เห็นอยู่ข้างทางเป็นแน่ .. ว่าแล้วผมและพี่เอกก็ช่วยกันเติมน้ำมันรถให้เต็มถัง เพื่อความสบายใจ
ตะวันเริ่มคล้อยลับขอบฟ้า กระทบกับสีของภูเขาหัวโล้นสีแดง ทำให้ดูแล้วสบายตา เย็นใจ ในความศิวิไลส์ของสหรัฐอเมริกา ก็ยังพอมีความเรียบง่าย ของธรรมชาติที่สวยงาม ให้เราได้มองเห็น และยังใจให้ชุ่มเย็นตามความสวยงามของมันไปด้วย ผมขับรถอย่างสบายๆ ตอนนี้มีแต่มือและสายตาของผมเท่านั้น ที่ทำการบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ เท้าทั้งสองถูกพัก ด้วยเทคโนโลยีของรถ ที่สามารถควบคุมด้วยระบบ Cruise หรือเหมือนการบังคับเรือ ที่เราใช้มือควบคุมความเร็วให้อยู่ในระดับเท่าเดิมตลอดการขับรถ แต่ข้อเสียของมันก็คือ สายตาต้องใช้ตลอด หากเกิดอะไรขึ้น ต้องรีบเหยียบเบรค เพื่อคืนสู่ระบบเดิมของมัน ส่วนใหญ่พี่ๆผู้โดยสารจะหลับกัน เพราะเรื่องราวต่างๆถูกพูดคุยกันจนเกือบหมด ตั้งแต่วันแรกแล้วนั่นเอง... พี่เอกเปลี่ยนผมขับอีกครั้ง ให้ผมมีพลังในการขับรอบต่อไป ด้วยการนอนหลับเอาแรงที่เบาะหลังรถ หลังจากความมือเข้ามาเยือน เราก็รู้สึกถึงความหนาวเข้ามาแทนที่ อากาศของทะเลทรายยามค่ำคืน ทำอุณหภูมิลดลงต่ำ จนเกือบเป็นศูนย์ เราเริ่มมองเห็นเกล็ดหิมะขาวๆ ตกลงมาปะทะกระจกหน้ารถ ทีละเล็กทีละน้อย และก็มากขึ้น จนต้องชะลอรถให้ช้าลง มิเช่นนั้นจะไปชนคันข้างหน้าได้.. ตอนนี้เราอยู่ในรัฐ Nebraska และถึงเวลาที่จะต้องหาที่หลับที่นอน ในคืนที่ 2 ของการเดินทาง... ณ โรงแรมติดดิน ที่ใครๆชอบเรียกกันว่า โรงแรมม่านรูด ซึ่งมีความหมายในเชิงลบ มากกว่าบวก แต่ความจริงแล้วมันเป็นโรงแรมประเภทหนึ่ง..
ตอนที่ 5 : Mormon การเผยแผ่ที่น่าทึ่ง
โรงแรมม่านรูด ที่ผมหมายถึงในที่นี้ ที่อเมริกาเขาเรียกว่า “ Motel” จะเป็นลักษณะโรงแรม ที่ตั้งอยู่ริมถนน ที่มีห้องพักสามารถเดินจากที่จอดรถแล้วถึงห้องได้เลย ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง เหมาะสำหรับนักเดินทางที่มาพักในระยะสั้น 2-3 วันเป็นต้น และก็มีม่านรูด บางทีก็ดึงเอา ไม่ใช่แต่รูดอย่างเดียว ส่วนความหมายในเชิงลบนั้น ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจึงเรียกไปในทำนองว่า ใครเข้าไปพักแล้ว ก็มักจะเกี่ยวข้อง พัวพัน กับกิจกรรมหลับนอนระหว่างชายและหญิง ผมคิดว่าน่าจะมาทำความเข้าใจกันใหม่ให้ตรงกับความหมายของ Motel จริงๆ อย่างพวกเรานักเดินทางเส้นทางสายสันติภาพ การพัก Motel เป็นการลงทุนที่ประหยัดสุด ประโยชน์สูง เพราะค่าเช่าต่อคืน ก็ไม่แพง ราวๆ 40-60 เหรียญต่อห้อง ห้องละ 2 คน และการจองก็ทำได้ตลอดเวลา 24 น. ผมเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องการจองมากนัก เพราะยกหน้าที่นี้ให้กับพี่อุบาสิกา หัวหน้าทีมพวกเราจัดการให้เสร็จสรรพนั่นเอง
อยู่ Motel เราก็ใช้เวลาคุ้มค่ามาก เราใช้เวลาก่อนนอน ประชุมปรึกษาหารือกันว่า รุ่งเช้าจะทานอะไรกันดี มาม่า ปลาประป๋อง พอมีให้งัดออกมาให้ทานไหม ขนมนมเนย พอเหลือในคลังบ้างไหม เรื่องของกินนี่สำคัญมากทีเดียว เหมือนกับที่เราได้ยินกันว่า “กองทัพเดินด้วยท้อง” เรากำลังใช้สมบัติพระศาสนา ซึ่งเป็นเงินที่ญาติโยมจบหัวอธิษฐานถวายพระมา แล้วถูกนำมาใช้ในโครงการเผยแผ่ในครั้งนี้ ถ้าไม่จำเป็นเราก็จะไม่จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ถ้าใช้อย่างคุ้มค่าก็จะเป็นบุญติดตัวเราไปมากมาย แต่ถ้าไม่ละก็ จะมีบาปติดตัวไปมากมายเช่นกัน ฉะนั้น ม่าม่า จึงเป็นทางเลือกแรกของเรา ยกเว้นที่โรงแรมจะมีบริการอาหารเช้าฟรี ซึ่งก็มักจะเป็น American Breakfast พวกไส้กรอก ขนมปัง ไข่คน และกาแฟ อะไรประมาณนี้ ..
และแล้วเราก็ถึงอาณาจักรแห่งคริสศาสนา นิกายมอร์มอน ณ เมือง Salt Lake City รัฐยูท่าห์ Utah ซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศ หลังจากผ่านทะเลทรายกันมานาน เราก็สัมผัสพื้นดินที่มีสีขาวโพลนของหิมะ ที่เพิ่งตกลงมาไม่กี่วัน Salt Lake city นี้เอง เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ของนิกายมอร์มอน ที่ส่งวัยรุ่นทั้งชายและหญิง ใส่ขุดคล้ายๆนักศึกษา ขี่จักรยาน สะพายเป้ ไปตามบ้านเรือน ต่างๆ ทั่วโลก ที่เมืองไทยเราก็พอจะเห็นกันมากมาย เป็นฝรั่งที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาสามารถพูด ฟัง อ่าน เขียน ภาษาไทยได้ดีมากทีเดียว ซึ่งเบื้องหลังการฝึกภาษา และการเผยแผ่ ก็คือเมืองแห่งนี้ ที่มีทั้ง โบสถ์ หลายหลัง อาคารประชุมของบาทหลวง ตลอดจนจุดเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยว พวกเราพักกันที่นี่อีก 1 คืน อันเป็นคืนที่ 3 ของการเดินทาง และได้มีโอกาสได้ไปชมโบสถ์มอร์มอน ที่ยิ่งใหญ่อลังการ มียอดโบสถ์เป็นรูปทรงแหลม คล้ายๆยอดเจดีย์บ้านเรา (โปรดติดตามตอนต่อไป)
ตอนที่ 6: เกือบก้มกราบพระเยซู
แต่เป็นรูปปั้นของที่กำลังเป่าแตรอยู่ มีชื่อว่า Moroni เป็นเทพที่ปรากฏ ในห้วงคำนึงของ Joseph Smith ชายผู้ค้นพบคัมภีร์ 10 ประการอันใหม่ ที่ชาวคริสต์ดั้งเดิมใช้อยู่ ฉะนั้นจึงเป็นคำถามของชาวคริสต์ด้วยกันว่า มอร์มอน หรือคำเรียกชื่อ ของนิกายนี้ มีความจริงแท้แค่ไหน.. แต่มอร์มอน ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ เป็นอย่างมาก มีการทำงานที่เป็นระบบ และใช้เทคโนโลยี่ และการจัดการที่ทันสมัยมาใช้ บุคลากรก็มีทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น ที่อุทิศตนให้กับศาสนา ยอมลำบากไปเผยแผ่ตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
ที่ผมเห็นชัดๆ ก็คือความรวดเร็วในการสื่อสารในการเผยแผ่ และเทคนิคการหาคนเข้านิกายของเขา ในขณะที่เราเดินเข้าไปสู่อาคารต้อนรับนักท่องเที่ยวของมอร์มอน ณ ศูนย์กลางเมือง เจ้าหน้าทีฝรั่งก็แนะนำอย่างเป็นกันเอง และใจดีมาก เขาให้เราไปใช้บริการที่เรียกว่า Family Tree Search เพื่อค้นหาว่าบรรพบุรุษของเรา เป็นใคร มาจากไหน โดยใช้คอมพิวเตอร์ค้นให้ ผมและพี่ๆ ตื่นเต้นกันมาก ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน ก็นึกเล่นๆ ว่า ชื่อไทยๆ อย่างเรา มันจะหาบรรพบุรุษได้อย่างไร ก่อนจะหาข้อมูล เราต้องใส่ข้อมูลชื่อ ที่อยู่ก่อน แล้วจึงให้มันค้นหา ของผมนามสุกุล Ruennakarn เครื่องมันใช้เวลาไม่นาน ก็บอกว่า เป็นคนไม่ม่ญาติ ว่างั้น ทำให้ทุกคนฮากันไปเลย ก็พอกันที สำหรับเจ้าเครื่องหาต้นบรรพบุรุษ เราเดินชมสถานที่เขาสักพัก ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ มีหลวงพี่ที่วัดนิวเจอร์ซี่ โทรฯหาผม คิดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนอะไรสักอย่าง จึงรีบรับสาย หลวงพี่ท่านบอกว่า มีฝรั่งอยากพบตัวผม อ้างว่าผมให้ที่อยู่ไว้ เป็นเด็กวัยรุ่นฝรั่ง 2 คน ขี่จักรยานมา พยายามพูดกับหลวงพี่อย่างมาก เพื่อขอเข้ามาคุยในวัด แต่หลวงพี่ก็ไม่อนุญาตให้เข้าวัด เขาจึงมอบคัมภีร์ มอร์มอน ฉบับภาษาไทย ไว้ให้ สุดยอดจริงๆ รู้ด้วยว่า เราคือคนไทย เตรียมให้เราเสร็จสรรพ ผมถึงกับอึ้ง และทึ่ง กับความรวดเร็วของการสื่อสาร ของระบบ Family Tree Search ที่เป็นเหมือนผู้ช่วยในการเผยแผ่ศาสนาของเขา นี่ถ้าเราเอามาใช้กับศาสนาพุทธเราคงจะดี แต่ข้อมูลคงจะสับสนอลหม่าน เนื่องจากคนไทยเรา มีทั้งเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล กันจ้าละหวั่น ..
แล้วเราก็ได้มีโอกาสได้เข้าไปชมภาพยนต์ฟรี 1 เรื่อง ในโรงภาพยนต์ที่ขอบอกว่าอลังการ ไฮเทค ไม่แพ้โรงภาพยนต์ใหญ่ๆของอเมริกาเลยทีเดียว เป็นห้อง Slope และจอที่ใหญ่มหึมา จุดคนได้สัก 200 คนเห็นจะได้ เรื่องที่เรารับชม เป็นเรื่องราวของความศักดิ์สิทธิ์และเมตตาของพระเยซู ที่มีต่อผู้คนทั้งหลาย ความเมตตาและความรักของท่าน เปลี่ยนจากผู้ป่วยให้เป็นคนปกติได้อย่างอัศจรรย์ พวกเราดูจนอิน เนื่องจากแสง สี เสียง ทำให้รู้สึกว่าเราอยู่ในเหตุการณ์จริงๆเลยทีเดียว และตอนภาพยนต์จบ ทุกคนก็เดินออกมาเจอรูปปั้นของพระเยซู ยืนกางแขนพร้อมโอบกอดทุกคนที่เดินออกมา บางคนก็ทำท่าไหว้ และร้องไห้ บางคนก็เอามือแตะที่หน้าผากและหน้าอก ส่วนผมยอมรับว่าความอินยังอยู่ในใจ ก็นึกชื่นชมพระเยซู อยู่ในใจ และถ้าหากไม่ได้มีความศรัทธาในพระรัตนตรัยอยู่ในใจแล้วละก็ ผมคงจะก้มลงกราบเหมือฝรั่งคนอื่นๆ เป็นแน่แท้ เกือบแล้วเรา ตรงนี้ทำให้ได้ข้อคิดว่า สื่อ มีผลต่อจิตใจของผู้คนมาก ศาสนาคริสต์เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้คนรักในพระเจ้าและพระเยซู แม้ไม่ได้ปฏิบัติในคำสอน ก็ตาม แต่ของเรา พระพุทธศาสนา ซึ่งมีธรรมะที่พร้อมให้เราได้ปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ พบสุขแท้จริง ด้วยตัวของเราเอง เป็นเหมือนสินค้าที่ดีที่สุดในโลก ที่รอคอยผู้คนซึ่งเปรียบเหมือนลูกค้า มาพิสูจน์ ฉะนั้น การประชาสัมพันธ์หรือการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีผลต่อการขยายสันติสุขไปสู่ผู้คนได้อย่างมากมาย เหมือนมอร์มอน ได้ทำให้เราดูเป็นตัวอย่างนั่นเอง... อยู่ดินแดนมอร์มอน 1 คืน เราก็เดินทางกันต่อ มุ่งหน้าลงทางทิศใต้ ตามเส้นทางสายสันติภาพ สู่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งใช้ทางฟรีเวย์ Free Way สาย 15 สู่ดินแดนที่ไม่เคยหลับไหลใจกลางทะเลทราย มีชื่อว่า ลาสเวกัส Las Vegas อาณาจักรของนักเล่นการพนัน จากทุกมุมโลก
ตอนที่ 7: การพนันคือสิ่งปกติของคนที่นี่
ลาสเวกัส เป็นเมืองที่มองจากที่สูง เหมือนกับเมืองในหุบเขา ที่เป็นแอ่งกะทะ ก่อนจะถึงเมือง เราได้ขับรถคดเคี้ยวไปมา ในยามพลบค่ำของวันที่ 4 ขับจนไฟสีส้มบอกที่หน้าปัดรถยนต์ว่า น้ำมันใกล้จะหมดแล้ว ตอนนั้นเราลุ้มกันมาก ว่าจะไปถึงปั้มไหม แต่ด้วยบุญของทุกคนในรถ เราก็เจอปั้มน้ำมันจนได้ และได้เข้าสู่เขตของรัฐเนวาดา Nevada อันมี เมืองลาสเวกัสตั้งอยู่นั่นเอง... มีสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ ในร้านขายของตามปั้มน้ำมัน จะมีเครื่องที่เรียกว่า Slot Machine หรือตัวโยกตัวเลข อันเป็นเครื่องเล่นการพนันที่บรรดาเซียนเล่นพนันคุ้นเคยกัน แต่ผมได้แต่มองแบบงงๆ ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันดูคล้ายๆกับเครื่องทำขนมอะไรประมาณนั้น ผมว่า... แต่ใครได้เข้าไปนั่งต่อหน้ามัน มีอันต้องเสียเงินจนหมดตัวก็มี .. พวกเราเช่า Motel ที่อยู่ใจกลางลาสเวกัส เพราะตอนนั้นดึกแล้ว จริงๆเราไม่อยากพักหรอกครับ แต่เราต้องรักษาสรีรยนต์ ไว้ให้ดี เพื่อเก็บแรงเดินทางในวันต่อไป โรงแรมที่เราไปพัก ก็ไม่ใช่โรงแรมธรรมดา ก่อนจะขึ้นห้อง ก็ต้องผ่านพวกเซียนการพนัน ที่นั่งเรียงรายกัน ตลอดทางเดิน เบื้องหน้าของเขาคือ Slot Machine จำนวนมากมาย มีบริกรคอยเสริฟอาหาร และเครื่องดื่มตลอดเวลา ปะปนกับกลิ่นของเหล้าและบุหรี่ที่คละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ จนผมแทบจะทนไม่ไหว โรงแรมที่ลาสเวกัสไม่ต่างกันที่มีการบริการนักเล่นการพนันแบบนี้ ผมคิดว่ามันเปรียบเหมือนนรกดีๆนี่เอง พวกเราก็เหมือนเทวดามาเยี่ยมทุคติภูมิ อะไรอย่างนั้น..... มันกลายเป็นความปกติของคนที่นี่ไปแล้ว และนับวันโลกจะเปลี่ยนตาลปัตร ที่คนทำความชั่วเป็นเรื่องปกติ ส่วนคนทำดี ก็ถูกมองว่าผิดปกติ ไปเลย.. ฉะนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องฝึกแยกแยะว่า อะไรบุญ อะไรบาป อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร ถ้าแยกไม่ออกแล้ว โอกาสไปตกนรก มีสูง จะแยกแยะได้ ก็ต้องรักษาใจให้นิ่งๆ อยู่ในธรรม ใจนิ่งๆ จะเกิดความบริสุทธิ์ ที่จะสามารถแยกแยะว่าอะไรดี อะไรชั่ว เหมือนน้ำใส ในแม่น้ำ สามารถทำให้เราแยกแยะระหว่างน้ำ กับโคลน ฉันนั้น..
เราใช้เวลาช่วงเช้าของการเดินทางวันที่ 5 ด้วยการชมเมือง ลาสเวกัส สิ่งที่เราได้เห็นคือ การใช้พลังงานที่มากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าจากจอ LED โฆษณาขนาดใหญ่ตามตึกต่างๆ ที่เปิดไว้ทั้งวัน ทั้งคืน ผู้คนจะมีไม่มากในช่วงกลางวัน เนื่องจากกลางคืนใช้เวลากับการ กิน ดื่ม เที่ยว และเล่นการพนัน นั่นเอง พอผ่านพ้นเมืองลาสเวกัสไปแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางของเรา คือ วัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย ซึ่งตั้งอยู่กลางเมือง Azusa รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐที่มีคนไทยมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมีพื้นที่พอๆกับประเทศไทยอีกด้วย อากาศเหมาะสมกับการอยู่พัก (ราวๆ 25-35 องศาเซลเซียส) เราใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ถึงจุดหมาย วัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนียนี่เอง ที่เราจะเริ่มต้นงานสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นกับชาวอเมริกัน ซึ่งรอคอยครูบ๊อบและครูดอน มาแนะนำการฝึกสมาธิให้... แต่ผมพบว่า ทีมงานเราขาดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดอ่อนของการทำงานของเราเอง ..
ตอนที่ 8: ผจญความใส ในแคลิฟอร์เนีย
การมาอยู่ที่วัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย ทำให้ทีมงานของเรา ได้พบกับพระอาจารย์ที่ท่านสอนสมาธิให้กับชาวอเมริกันท้องถิ่นอยู่แล้วเป็นประจำ ท่านพูดให้ธรรมะ และสอนคนอเมริกันได้อย่างช่ำชองและมีเทคนิคต่างๆให้คนท้องถิ่น ประทับใจ มีความสุขกับการปฏิบัติธรรม และเมื่อท่านเจอพวกเรา ท่านจึงได้ทำหน้าที่เหมือน Adviser ให้เราได้ทำหน้าที่สร้างสันติสุขจากการฝึกสมาธิ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจ ที่ท่านสอนไว้คือ “ จะไปทำหน้าที่สอนสมาธิให้คนอื่น ตัวเราต้องเป็นต้นแบบ เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาให้กับเขาได้ด้วย” ก็จริงอย่างที่ท่านว่า เราพบกว่า เวลาเรานั่งสมาธิน้อย และเวลานั่งก็นั่งหลับ ตัวงอ ซึ่งไม่ต้องถามต่อว่า นั่งดีหรือไม่ดี สงบหรือไม่ สงบนั้นคงจะสงบแน่ แต่สตินั้นแทบจะไม่เหลือเลย.. ท่านจึงแนะนำให้พวกเราได้ฝึกสติระหว่างนั่งสมาธิ ด้วยการนับคำภาวนา “ สัมมา อะระหัง” ตลอดการนั่ง พอนั่งเสร็จ ให้บอกท่านว่านับได้เท่าไหร่.. ผมนับใหม่ไม่รู้กี่รอบ เพราะเผลอหลับ จนต้องเริ่มนับใหม่นั่นเอง.. การที่เรานั่งตัวตรง และมีความสุขกับการนั่งสมาธิ มีผลต่อการอยากนั่งของฝรั่งด้วย ไม่ต้องคิดว่าเขาอยากนั่งหรือไม่ หากเจอเจ้าหน้าที่จัดนั่งสมาธิ นั่งหลับ ตัวงอ น้ำลายไหลยืด... ดูไม่จืดแน่ๆ พวกเราต้องขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านเป็นอย่างยิ่ง...
คุณบ๊อบแนนำสมาธิให้กับชาวอเมริกันในเมืองอซูซ่า จำนวนกว่า 30 ท่าน มีการ lecture และออกกำลังกายโดยครูดอน ก่อน พวกเราก็แบ่งงานกัน โดยผมดูแลต้อนรับ และทั่วไป รวมถึงงานเลขาด้วย ผลออกมาดีมาก ทุกคนมีความสุขกับการปฏิบัติธรรม และเข้าใจเทคนิคการนั่งได้ดีกว่าเดิมมาก ตลอดจนได้ฟังเรื่องราวของสมาธิที่พลิกชีวิตของคุณบ๊อบ จากการรอดตายด้วยโรคหัวใจ ด้วยสมาธิ นอกจากนี้ทีมงานเรายังไมหยุดแค่เมืองอซูซ่า เราได้ใช้เวลาช่วงหนึ่ง ขึ้นไปทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย เพื่อไปหาประสบการณ์การจัดปฏิบัติธรรม ที่ Spirit Rock Meditation Center และ Zen Center ณ เมืองซานฟรานซิสโก เมืองแห่งมนต์เสน่ห์ของสะพาน Golden Gate ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักกันดี นอกจากนี้เรายังได้ไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เมือง Berkeley และศูนย์ปฏิบัติธรรมทิเบต Tibetan Meditation Center อีกด้วย สิ่งที่ผมได้ก็คือ เทคนิคการนำออกกำลังกาย และการใช้ศัพท์ในการออกกำลังกายเป็นภาษาอังกฤษ...
ก่อนที่เราจะกลับรัฐนิวเจอร์ซี่ เราได้จัด Meditation Workshop ให้กับพนักงานบริษัทผลิตตุ๊กตา Mattel ซึ่งเรารู้จักคนมาวัดของเราที่ทำงานที่นั่น.. Mattel เคยเป็นบริษัทดังในการผลิตตุ๊กตาบาบี้ Barbie Doll ที่มีชื่อเสียงของโลกนั่นเอง การจัด Workshop ในครั้งนั้น เป็นการนำแสงสว่างแห่งสันติสุขไปสู่ใจของพนักงานบริษัท ได้เป็นอย่างดีทีเดียว.. นอกจากนี้เรายังไปจัดที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในเมือง Santa Monica เมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของรัฐ ติดกับทะเล แต่ก่อนที่เราจะจัดนั้น เราก็ทำการประชาสัมพันธ์ ไปติดโปสเตอร์ตามจุดต่างๆในเมือง เช่น ร้านค้า และแจกให้กับผู้สัญจรไปมา ณ จุดที่มีคนพลุกพล่าน.... ผมไม่แน่ใจว่าเราไปแจกใบโฆษณาที่ไหน แต่ผมจำได้แม่นว่า การที่จะไปแจกกระดาษให้คนอ่าน ยังไม่น่าสนใจพอ มีน้องอุบาสกที่แคลิฟอร์เนีย มาช่วยแจกแผ่นพับ แต่ผมทำหน้าที่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน และเสี่ยงต่อคำว่า “ คนคนนี้ บ้าหรือเปล่า? “
ตอนที่ 9 : กลับสู่ฐานทัพเดิม และ สันติภาพที่แท้จริง ( ตอนอวสาน)
“ Is he breathing?” ( เขาหายใจอยู่หรือเปล่า?) เป็นคำถามที่ฟังดูอาจจะน่าจะอยู่ในเหตุการณ์เกี่ยวกับความเป็นความตาย ของคน ตามจุดเกิดอุบัติเหตุ หรือไม่ก็ที่โรงพยาบาล แต่คำถามนี้ถามโดยผู้หญิงชาวแคลิฟอร์เนีย ท่านหนึ่งที่เดินผ่านมาทางจุดที่เราแจกแผ่นพับประชาสัมพันธ์ การนั่งสมาธิที่โรงแรมใน Santa Monica.. แต่ไม่ต้องตกใจครับ ไม่มีใครเป็นอะไรแน่นอนอย่างที่เธอถาม และคนถูกถามก็ไม่มีใคร นอกจากตัวของผมเอง ที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ด้วยการ “นั่งขัดสมาธิ คู้บัลลังก์” อยู่บนฟุตบาท ริมถนนที่คนเดินพลุกพล่าน ช๊อปปิ้ง ผ่านไปผ่านมา ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรลงไป แต่ผมรู้สึกดีมากที่ได้ทำอย่างนั้น เป็นการนั่งสมาธิโชว์ฝรั่ง ดีๆนี่เอง และได้ผลเกินควร เกินคาด น้องอุบาสกที่มาช่วย แจกแผ่นพับได้มากขึ้น และคำถามต่างๆ เกี่ยวกับสมาธิ ก็เกิดขึ้นในใจของคนอเมริกัน โดยเราไม่ต้องพูดเชื้อเชิญเลยแม้แต่น้อย ผมนั่งดีมากๆ ใจสงบ นิ่ง ดิ่งเข้าไปในกลางความสงบ ไม่ง่วง ไม่งีบ ไม่วอกแวก แม้ว่าภายนอกจากวุ่นวาย ด้วยเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงดนตรีจากนักดนตรี ร้องรำทำเพลงอยู่ข้างๆ มันได้ยิน แต่ไม่ยินดี ยินร้าย.. นี่เอง คือประโยชน์ของสมาธิ อย่างหนึ่ง ที่เห็นได้ชัดว่า “ เมื่อใจใส เป็นสมาธิแล้ว อยู่ที่วุ่นวาย ก็ไม่วอกแวก อยู่ที่วิเวก ก็ไม่วังเวง” ทำให้เราทำอะไรก็ตาม สำเร็จได้โดยง่าย เพราะใจจดจ่อกับสิ่งที่เราทำนั้นนั่นเอง..
เราจัดนั่งสมาธิที่โรงแรมใน Santa Monica ได้ผลเป็นอย่างดี มีคนอเมริกันมาร่วมกว่า 20-30 ท่าน คุณครูบ๊อบ และดอน ทำหน้าที่อย่างดีมาก ดูเขาไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่เขาต้องพูด ต้องสอนสมาธิอยู่ตลอด หลวงพ่อเคยสอนผมว่า “ การนั่งสมาธิ เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด” เพราะกายและใจได้พักไปพร้อมๆกัน คนที่ไม่มีสมาธิ หรือขี้กังวล มีเรื่องราวในชีวิตมาก เวลานอนหลับพักผ่อน เขาพักได้แต่กาย แต่ใจนั้นยังคงทำงานต่อ คิดต่อ ฝันต่อ ฝันสะเปะสะปะ จนเหนื่อย ตื่นขึ้นมา ก็ยังคงเพลียอยู่เช่นเดิม ผู้มีใจเป็นสมาธิ หรือทำสมาธิอยู่อย่างสม่ำเสมอ จะฝันน้อย หรือไม่ฝันเลย ฝันก็ฝันแต่เรื่องดี หลับก็ลึก ตื่นมาก็สดชื่น .. ฉะนั้นจึงไม่แปลกว่า ฝรั่ง คนอเมริกันจำนวนมากมาย หันมาฝึกสมาธิ เพื่อรักษาโรคนอนไม่หลับ หรือที่เขาเรียกว่า Insomnia เพราะเป็นการแก้โรค โดยไม่ต้องทานยาเลยแม้แต่น้อย....
เวลาแห่งการสร้างสันติสุขที่แท้จริงในแคลิฟอร์เนีย ใกล้หมดลงแล้ว พวกเราทีมงาน ได้เดินทางกลับรัฐนิวเจอร์ซี่ หลังจากทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อ ที่แคลิฟอร์เนียมากว่า 1 อาทิตย์. เราขับรถพรีเวียร์สีเขียว คันเดิม ซึ่งได้ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปแล้ว 2 รอบ กลับสู่ฝั่งตะวันออกของอเมริกา อีก 4 วัน ตามเส้นทางใหม่ ซึ่งผ่านรัฐต่างๆใหม่ๆอีกหลายรัฐ ได้แก่ Texas, Colorado เราได้ไปพักค้างที่บ้านสาธุชนคนไทย ที่ Coloradoด้วย Colorado มีชื่อเสียงด้านธรรมชาติ ของเทือกเขา ร๊อกกี้ Rocky Mountain ที่มีนักเล่นสกี ต่างชอบไปเล่นกันที่นี่ เพราะมีหิมะให้เล่นทั้งปี.. นอกจากนี้เรายังได้ ไปแวะเยี่ยมสถานที่นั่งสมาธิของฮินดู ณ รัฐๆหนึ่ง ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ผมจำได้ว่า เป็นป่าเขา ที่อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม.. ผ่านรัฐ West Virginia รัฐ Virginia, Maryland กรุงวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา และฐานทัพเดิม คือ รัฐนิวเจอร์ซี่
การเดินทางสู่แคลิฟอร์เนียในครั้งนั้น ยังคงประทับตราตรึงในใจของผมมาถึงทุกวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 10 ปีก็ตาม เป็นการเดินทางที่แม้จะเหนื่อย และไม่มีใครเขาทำกัน เพราะระยะทางมันไกลมาก และใช้เสบียงมาก ถ้าจะถึงเร็วๆ ก็ต้องนั่งเครื่องบินไปเลย ใช้เวลาแค่ 5 ชั่วโมง เท่านั้น แต่ผมคิดว่า 5 วัน 5 คืน มันช่างแสนคุ้มค่าต่อการมาเกิดในโลกใบนี้ของผมและทุกคนในทีมงานเป็นอย่างยิ่ง มันปลื้มใจ ที่ได้ทำหน้าที่เป็นแสงสว่างเล็กๆ ที่จุดขึ้นมาในดวงใจของคนอเมริกัน จำนวนมากมาย ให้เขาได้พบกับสันติสุขภายในใจ อันเป็นสันติสุขที่แท้จริง ไม่ใช่อย่างที่ใครๆในโลกกล่าวถึง สันติสุขภายนอก แม้จะฟังดูดี มีความสงบ แต่ไม่ได้รับประกันว่า ภายในใจของผู้คน จะสงบ หรือไม่ สหรัฐอเมริกาแม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่สงบ อิสระเสรีของคนในประเทศ แต่แท้จริงแล้ว ยังมีความวุ่นวาย และสับสน มีปัญหานานัปการ ที่สร้างปัญหาให้กับคนในประเทศมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อาชญากรรม เด็กยิงเด็กตาย ผู้ใหญ่ปาระเบิดใส่ฝูงชน วัยรุ่นยิงคนตายในโรงหนัง สิ่งนี้ไม่ใช่ความสงบ สันติภาพ อย่างที่เขาว่ากันแล้ว เว้นแต่ผู้มีปัญญา บัณฑิตทั้งหลาย ที่แก้ปัญหาสังคม ด้วยสติ ด้วยสมาธิที่ตั้งมั่น จนเกิดปัญญา มองเห็นหนทางแก้ปัญหา มีความสุขกับชีวิต และแบ่งปันให้กับผู้คนรอบข้าง และโลก จนเกิดความรัก ความปรารถนาดี ซึ่งกันและกัน นี้คือ สันติภาพที่ถูกต้อง และแท้จริงนั่นเอง ....
เอวัง ด้วยประการะฉะนี้ จบบริบูรณ์ ( The End)
ผู้เขียน : Sophon Ruennakarn จาก facebook
https://www.facebook.com/sophon.ruennakarn
ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท