เมื่อน้ำใจมีชัยเหนือน้ำมัน (When Power of Giving is worthier than Gasoline)
ราวๆ เดือนพฤษภาคม ของปี 2546 ณ วัดพระธรรมกายนิวเจอร์ซี่
สหรัฐอเมริกา อันเป็นสถานที่สร้างความดีของผู้คนที่แสวงหาความสุขที่แท้จริงภายใน ผมได้เคยทำงานที่นั่น เป็นเด็กวัด หรือเรียกโก้ๆว่า อารามบอย ระหว่างที่อยู่ที่นั่น สิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็คือ การเข้าถึงคนท้องถิ่นด้วยธรรมะ ซึ่งเขาจะเข้าใจและปฏิบัติได้ดี ก็ต้องอาศัย ภาษาอังกฤษ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนน้ำ ที่ช่วยให้ปลาได้แหวกว่ายไปในที่ต่างๆได้อย่างอิสระเสรี และการใช้ภาษาก็ต้องมาตรฐานและถูกต้องเพื่อให้การถ่ายทอดธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องกังวลว่า ฝรั่งจะทำหน้างง หรือถามเราอยู่ตลอดเวลาว่า เราพูดอะไร ฉะนั้นทั้งหลวงพี่และเด็กวัด จำต้องไปเรียนภาษา ตามโรงเรียนสอนภาษา หรือเรียนฟรีของการศึกษาผู้ใหญ่ที่แต่ละเมืองบริการ หรือจะให้มีการสอนตัวต่อตัวที่บ้านก็ได้ ซึ่งการสอนตัวต่อตัวที่บ้าน จะดีสำหรับหลวงพี่และเด็กวัด ที่สามารถซักถามครูได้ตลอดเวลา
เราโชคดีที่มีครูหญิงฝรั่งอเมริกันเชื้อสายยุโรปท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของสาธุชนที่มาวัด ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้ มาสอนภาษาอังกฤษให้ถึงที่วัด เธอเป็นคนนิวยอร์ค ซึ่งมีสถานที่สำคัญคือ มหานครนิวยอร์ค เมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลกันไปเที่ยวไม่มีขาด ครูท่านนี้กว่าจะได้มาสอนภาษาอังกฤษเราได้ ต้องผ่านความเป็นความตาย จากเหตุการณ์ตึก เวอร์ดเทรด ถล่ม จากการวิ่งชนเครื่องบินของผู้ก่อการร้ายในเดือนกันยายน ของปี 2545 เธอรอดตายจากเหตุการณ์ในวันนั้นมา ก็ด้วยบุญจริงๆ เพราะก่อนตึกจะโดนชนและถล่ม เธอได้ออกมาซื้อของนอกตึกพอดี สิ่งนี้บ่งบอกเราในเรื่องของกฏแห่งกรรมว่า หากใครไม่เคยก่อเวรทางด้านฆ่า มา แม้มีเหตุการณ์ร้ายๆใด ก็จะมีเหตุให้รอดพ้นทุกครั้งไป เหมือนคำโบราณที่บอกไว้ว่า “ คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” นั่นเอง
ปกติคุณครูวอน จะอาศัยเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร คอยไปรับและส่งจากบ้าน ถึงวัด รวมเวลาขับรถประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ครูวอนสอนภาษาอังกฤษได้ละเอียดดีมาก เธอสอนให้หลวงพี่ และผม พูดแนะนำตัว และการสนทนาภาษาอังกฤษเบื้องต้น เช่น How are you? What do you do? รวมไปถึงการรับโทรศัพท์ เช่น Who is calling? Who am I speaking with? Can I take a message for …? Which whom you would like to speak? I'm sorry, there is no …. In this house. เป็นต้น ผมได้ต้นแบบการรับโทรฯจากคุณครูวอนมาใช้จนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว หลวงพี่ก็กล้าพูดภาษาอังกฤษได้มากขึ้นกว่าเดิมมากมาย ต้องขอบคุณเธอมากๆเลยครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนคุณครูวอนมาส่งเธอที่วัด แต่ไม่สะดวกไปส่งที่บ้าน ผมจึงอาสาจะขับรถไปส่งเธอถึงบ้าน เพราะเป็นการตอบแทนคุณที่เธอสอนภาษาอังกฤษให้โดยไม่เห็นแต่ความลำบาก และสอนฟรีอีกด้วย เวลานั้นเป็นช่วงค่ำ ผมจึงต้องรีบไปส่งเธอ จะได้ไปถึงบ้านไม่มืดมาก จึงลืมเติมน้ำมันรถให้เต็มถัง แต่ผมกะประมาณระยะเวลา หนึ่งชั่วโมงครึ่ง น้ำมันครึ่งถัง ปกติครึ่งถังใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชม ฉะนั้น ชั่วโมงครึ่งก็สบายๆ ไปหาเติมเอาข้างหน้าก็ได้ ว่าแล้วก็ขับรถพาครูวอน เดินทางกลับบ้านเธอ เราใช้เส้นทาง เรียกว่า Palisade Parkway อันเป็นเหมือน motor way บ้านเรา ที่วิ่งจากนิวเจอร์ซี่ ขึ้นไปทางทิศเหนือ ผ่านมหานครนิวยอร์ค และอุทยานแห่งชาติ Bear Mountain ซึ่งสองข้างทางอุดมไปด้วยต้นไม้สีเขียวหน้าทึบ สลับกับแนวฝั่งแม่น้ำ Hudson อันเป็นเขตกั้นระหว่างรัฐนิวยอร์คและรัฐนิวเจอร์ซี่ ขับรถไปผมก็คุยกับครูวอนไป แต่จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรบ้าง เพราะผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว แต่สิ่งที่ผมจำได้แม่น และยังตราตรึงอยู่ในใจคือ การแนะนำสมาธิเป็นภาษาอังกฤษ ให้กับเธอ และคุณพ่อของเธอ ภายในบ้านหลังน้อยอันอบอุ่น ท่ามกลางความสดชื่นของธรรมชาติ
บ้านครูวอน เหมือนบ้านทรงยุโรป ที่ภายนอกทำด้วยอิฐ และมีปล่องควัน ชั้นเดียว หลังจากที่ผมลงจากรถส่งเธอถึงหน้าบ้านแล้ว คุณพ่อของเธอก็ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น ผมก็แนะนำตัวเองกับท่านไป และเราทั้งหมด ก็เข้าไปในบ้าน ภายในบ้านก็ตกแต่งอุปกรณ์ต่างๆที่เข้ากับธรรมชาติรอบบ้าน ครูวอนชอบเรื่องจิต ญญาณ และอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติ เธอก็จะมีรูปภาพ หรือสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆที่เป็นศิลปะ อิงธรรมชาติอยู่มากมาย คุณพ่อของเธอพอทราบว่าผมไม่ทานข้าวเย็น ท่านจึงกระวีกระวาด ไปหาไอศครีมมาให้ผม ผมรู้สึกอบอุ่นมากจริงๆเลย ทำให้ได้ข้อคิดว่า คนอเมริกันที่นิสัยดีๆ มีความสนใจเรื่องของจิต วิญญาณ ยังมีอยู่ และตัวอย่างที่ผมเห็นที่นี่ อาจจะเป็นเพราะธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่สัปปายะ ที่หล่อหลอมจิตใจของเธอและคุณพ่อ ให้อยู่กับความจริงที่ไม่มีสิ่งปรุงแต่งภายนอก อย่างธรรมชาติ และมันก็พ้องกับคำว่า “ธรรมะ” ซึ่งก็คือ ความจริงของโลกและชีวิต ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ และหากใครเข้าใกล้ “ธรรมะ” มากเท่าไหร่ จิตใจของผู้นั้น จะอ่อนโยน และสงบนิ่ง ไร้สิ่งปรุงแต่งภายใน มากเท่านั้น ผมทานไอศครีมไป ก็คุยกับคุณพ่อของครูวอนไป พอทานเสร็จ ผมก็ได้รับคำเชื้อเชิญที่ยากที่สุดอันหนึ่งในชีวิตของผม นั่นคือ การสอนสมาธิเป็นภาษาอังกฤษ ให้กับครูวอนและคุณพ่อของเธอ
มันเป็นโจทย์ที่ยากยิ่งสำหรับผม ที่จะต้องพูดแนะนำสมาธิเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกในชีวิตให้กับคนอเมริกัน จริงๆ ผมเคยทำมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เป็นการแนะนำสมาธิให้กับเด็กๆอเมริกัน วัย 3-7 ขวบ ซึ่งก็มีหนูน้อย อีลาน และจาชัวร์ สองพี่น้อง ไทย-อเมริกัน ที่นั่งสมาธิได้ดี จนหลวงพ่อ ต้องนำเอาเรื่องราวไปออกในรายการธรรมะไปทั่วโลก แต่ผมก็เป็นแค่นำคำของหลวงพ่อ ไปแปลให้เด็กๆได้ปฏิบัติกัน พูดกับเด็กไม่กี่คำ เช่นคำว่า Visualize a crystal ball inside your stomach. Bright and clear. Imagine the shiny stars floating at your center of stomach. พูดวนไปวนมา สักพัก เด็กก็เห็นดวงแก้วในกลางท้อง มากกว่าที่ผมบอกเสียอีก คราวนี้เป็นผู้ใหญ่ การใช้คำพูดจะต้องมีมากกว่าเด็กแน่นอน ผมคิดในใจ แต่เหมือนเป็นปัญญาภายใน ได้ช่องทาง ผมนึกถึงคำสอนของพระอาจารย์ที่วัดรูปหนึ่ง ท่านเคยบอกไว้ว่า เวลาจะนำใครนั่งสมาธิ และหรือแนะนำใครให้ทำสมาธิ เราไม่ต้องกังวลว่าเราจะพูดผิด พูดถูก หรือไปคิดหาคำพูดใดๆ เพียงแค่นึกถึงครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย อาราธนาให้ท่านมาซ้อนตัวเรา ให้ทุกคำพูด ที่ออกไป เหมือนกับที่ท่านได้สอนคนคนนั้น เราทำตัวเหมือนทางผ่าน ของครูบาอาจารย์นั่นเอง คิดได้อย่างนี้ ผมจึงไม่กังวลอีกต่อไป และตอบครูวอนไปว่า Yes I can.
ผมให้ครูวอน และคุณพ่อของเธอ นั่งเก้าอี้โซฟา ส่วนผมนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น พื้นที่ไม่กว้างนัก พอได้ยินกันทั้งสามคน จากนั้นครูวอนก็จุดเทียนขึ้นมา เหมือนเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นแสงสว่างและความสุขภายใน หลังจากผมอธิษฐานขอบารมีครูบาอาจารย์ให้พูดไม่ติดขัดแล้ว ผมก็ทำการแนะนำทั้งสองท่านนั่งสมาธิ เจริญภาวนา พอนำไป ใจมันสงบ คำพูดก็อ่อนโยนไปตามจิตใจ ผมจำไม่ได้ว่าผมแนะนำอะไรไปบ้าง แต่รวมความแล้ว คือ Relax your entire body from head to toes. Imagine the moon and stars at the center of your stomach and keep the brightness and clearness as long as you can. When your mind is wandering, recite the mantra, Samma Arahang. คือ การให้เขาได้นึกถึงความใส ความสว่างของดวงดาว พระจันทร์ ที่กลางท้อง หากฟุ้ง คิดเรื่องอื่น ก็ภาวนาในใจว่า สัมมา อรหัง จนกว่าใจจะสงบนิ่ง
เรานั่งกันไปพอสมควร น่าจะเกือบ 45 นาทีได้ เป็นการนั่งสมาธิที่มีความสุขมากครั้งหนึ่งของผม และครูวอนและพ่อของเธอ มีความสุขมากเช่นกัน สังเกตุจากใบหน้าที่สว่างขึ้น แม้ว่าจะไม่เห็นอะไรก็ตาม ผมดูเวลาตอนนี้มันจะมืดแล้ว เวลาประมาณ เกือบ 6 โมงเห็นจะได้ ท้องฟ้าก็เริ่มจะสลัวไปเรื่อยๆ ผมจึงขอลาครูวอนและคุณพ่อกลับ จะได้ไม่ไปถึงวัดดึกมาก เนื่องจากพื้นที่ของการเดินทาง เป็นภูเขาสูง ต่ำ สลับกัน รถที่ผมขับนั้น มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เมื่อขับไปได้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง บนถนนสาย Palisade Parkway. น้ำมันที่ผมคำนวณว่าจะพอต่อการเติมอีกนั้น บัดนี้เข็มบอกระดับน้ำมัน ลดลงมาถึงเกือบถึงตัว E ผมตกใจมาก เพราะขณะนั้น เริ่มมองไม่เห็นสองข้างทางแล้ว และพื้นที่ก็อับคลื่นโทรศัพท์ ไม่สามารถติดต่อใครได้ รถก็นานๆ จะสวนทางผ่านไป ผมนึกถึงสมาธิ และครูบาอาจารย์ขึ้นมาทันใด พร้อมกับอธิษฐานขอบารมีท่านให้พบเจอปั้มน้ำมันใกล้ๆ มือของผมที่จับพวงมาลัย เริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมพยายามตั้งสติอีกครั้ง แล้วนึกขึ้นได้ว่า เราต้องใช้พลังงานรถให้น้อยที่สุด ด้วยการขับช้าๆ และปิดแอร์
ขับไปสักพัก ผมก็เจอป้ายบอก Exit หรือทางออกข้างทาง เพื่อไปสู่หมู่บ้าน หรือเมือง ในใจคิดว่ามันต้องมีเมืองอยู่ใกล้ๆ แน่นอน แม้ว่าจะเห็นแค่พุ่มต้นไม้หนาทึบ สองข้างทางแค่นั้น แต่อนิจจา พอผมขับออกไปเท่านั้น ก็พบว่า มันเป็นทางเส้นใหม่ ที่ปกคลุมไปด้วยป่าสีเขียวสองข้างทาง มองไม่เห็นแสงไฟของเมืองแม้แต่น้อย “พลาดแล้วซิเรา ผมรำพึงกับตัวเอง” ผมตัดสินใจใช้นิสัยคนไทย กลับรถทันที ในพื้นที่ป่าตรงนั้น (ถนนสองฝั่งคั่นด้วยป่าและสนามหญ้า) โดยไม่กลัวตำรวจจะมาจับเลย ผมขับย้อนเส้นทางกลับไปใหม่ เพราะมองเห็นฝั่งตรงข้าม มีจุดพักริมทาง ซึ่งสามารถเข้าห้องน้ำได้ ติดต่อสอบถามได้ ผมจึงตัดสินใจขับเข้าไปจอด อย่างน้อยก็สามารถถามใครเรื่องปั้มน้ำมันได้บ้าง มีรถไม่กี่คันจอดแวะเข้าห้องน้ำตรงนั้น และผมก็เลือกจะถามชายอเมริกันขาวท่านหนึ่ง ที่กำลังยืนรอภรรยา ที่มาจอดอีกคันหนึ่ง
Excuse me Sir. Could you please tell me where is the nearest gas station? ผมรีบถามชายผู้นั้นอย่างไม่รีรอ และคำตอบเขาทำให้ผมต้องผิดหวัง เมื่อเขาบอกว่า Oh, I’m sorry, I don’t know neither. My wife ran out of her gas and I brought her the spare one. เขาบอกพลางชี้ไปที่แกลลอนน้ำมันที่เตรียมไว้ท้ายรถ ผมตาเป็นประกาย ในใจอยากขอเขามาก แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ชายคนนั้นก็บอกผมว่า I’ll give you a gallon so you can drive to gas station. There is another gas station on Route 287. เขาบอกผมว่าจะมีปั้มอยู่ไกลออกไปพอสมควร อยู่ปากทางเข้า ถนนระหว่างรัฐ 287 ผมดีใจมากๆ กล่าวขอบคุณชายท่านนั้น และถามเขาว่า How much is that? เขาบอกว่า Don’t worry about that ผมขอบคุณเขาอีกครั้งด้วยความดีใจ รอดตายแล้วเรา
ผมขับออกจากที่พักริมทาง มุ่งหน้าสู่วัดพระธรรมกายนิวเจอร์ซี่ อย่างมีความสุข และโล่งอก การขับต่อจากนั้น ผมสามารถเปิดแอร์ เร่งความเร็วของรถให้อยู่ในระดับปกติ ไม่ต้องขับช้าๆ หรือปิดแอร์เหมือนก่อนหน้านี้ สักพัก ก็ถึงทางแยกเข้าถนนระหว่างรัฐ 287 ซึ่ง มีปั้มน้ำมันอยู่ ผมก็ไม่รอช้า ไปเติมน้ำมันจนเต็มถัง อย่างสบายอก สบายใจ ไร้กังวล... ระหว่างขับกลับวัดนั้น ผมก็มานึกทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผม ซึ่งมีทั้งดี และร้าย แต่ในเหตุการณ์คับขัน กลับกลายให้ผมได้นึกถึงธรรมะ นึกถึงบุญ และครูบาอาจารย์ ที่เป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้าย ที่พึงจะหาได้ คนส่วนมากเวลาเจอเหตุการณ์คับขัน มักจะเสียสติ และตกใจ สับสน ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรดี สุดท้ายก็จบปัญหาด้วยเรื่องร้ายๆ เช่น ฆ่าตัวตายบ้าง หันไปพึ่งยาเสพติดบ้าง พาลโทษ โกรธคนนั้นคนนี้ ซึ่งมีแต่จะทำให้เหตุการณ์แย่ลง แต่ผู้มีปัญญา ผู้มีธรรมะ ผู้มีสติ ย่อมรักษาใจให้นิ่ง และใจเย็น ความมีสติ และใจเย็นนี้เอง จะทำให้ผู้นั้นเกิดปัญญา อันเกิดจากความนิ่งภายในใจ เหมือนแหล่งน้ำที่ใสนิ่ง ย่อมมองเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่เบื้องล่างฉันนั้น.... หากไม่ได้น้ำใจ ของฝรั่งท่านนั้น ผมก็คงเดินทางต่อไปไม่ได้ คงต้องนอนพักอยู่ที่พักริมทาง หรือไม่ก็รอคอยคนมาช่วยเหลือ ซึ่งก็ไม่อาจทราบว่าจะเสียเวลาต่อไปอีกนานเท่าใด และจะมีภยันอันตรายเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ก็มิอาจทราบได้ “น้ำมันรถยนต์ในวันนั้น แม้จะมีความสำคัญต่อการเดินทางกลับของผม แต่หากไม่ได้น้ำใจของชาวอเมริกันท่านนั้น น้ำมันรถก็ไม่มีความหมาย น้ำใจจึงเป็นเสมือนน้ำทิพย์หลั่งไหลจากฟากฟ้า แม้ไม่มีท่อนำพา ก็สามารถไหลได้ไปทุกที่”
ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน การเดินทางไกลไปในที่ต่างๆ จะต้องพึ่งพาเสบียง ปัจจัยสี่ เพื่อให้ไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย และมีความสุข แต่ก็เป็นระยะทางแค่สั้นๆ เมื่อเทียบกับระยะทางของการเดินทางหลังจากละจากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งมิอาจทราบระยะทาง และจุดหมายปลายทางได้ หากไม่ได้เรียนรู้ความจริงของชีวิตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ การสั่งสมบุญและความดีนั้นคือการสั่งสมเสบียงเพื่อเดินทางไกลในวัฏฏสงสาร หากสะสมไว้มากๆ การเดินทางก็จะสะดวกราบรื่น ถึงที่หมายปลอดภัย ไม่กังวล และมีความสุขในสุคติโลก แต่หากสะสมแต่บาปอกุศล หรือสั่งสมความดีไว้น้อย เสบียงบุญก็จะไม่มากพอ ที่จะนำพาชีวิตไปสู่จุดหมายคือ ความสุขที่แท้จริง หรือพระนิพพานได้ ก็จะเดินทางด้วยความลำบาก และเจออุปสรรคมากมาย และมีที่ไปคือ ทุคติโลก ฉะนั้น เราจึงควรสั่งสมความดี และบุญไว้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาความปกติของคนด้วยการรักษาศีล และหมั่นรักษาใจให้ผ่องใสเป็นสมาธิ จะได้ไม่เหมือนผมในวันนั้นนั่นเอง..
เอวัง ด้วยประการฉะนี้
จบบริบูรณ์ The End
ผู้เขียน : Sophon Ruennakarn จาก facebook
https://www.facebook.com/sophon.ruennakarn
ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท