อะไรคือจุดแข็งของคุณ? What is your strength?
หมอนวดท่านนี้ ใส่กางเกงขาสั้นสีเทาๆ เสื้อยืด และเป็นกันเองกับพวกเรามาก พอเดินเข้าไปในบ้าน ก็ได้กลิ่นของยาสุมนไพรต่างๆ บ่งบอกถึงความเป็นหมอนวดอย่างปฏิเสธไม่ได้ มีฟูกบางๆ ที่มีผ้าปูยับๆและผ้าขนหนูรองอีกชั้น เตรียมรอหลวงพี่ทั้ง 2 รูปอยู่แล้ว รอบๆฟูก ก็จะเห็นแผนผังการนวดเท้า และการกดจุดต่างๆ ตลอดจนรูปภาพท่านวดแผนไทยแบบต่างๆ ให้ผู้ถูกนวดรู้สึกว่า คนนวดไมใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ที่รู้เรื่องการนวดมาเป็นอย่างดี "ตามสบายครับหลวงพี่ ปกติผมนวดให้คนป่วยตลอด คนธรรมดาไม่ค่อยนวดเท่าไหร่" อืม.. แล้วถ้าคนธรรมดาอย่างพระและผมนี่ จะนวดยังไงนะ ผมคิดในใจ.. หมอหนวดเตรียมหนังให้เราดูรอคิวนวด เป็นหนังจีนกำลังภายใน ผมก็อาศัยช่วงรอนี้เอง สังเกตุ สังกา รอบๆบ้าน ว่ามีอะไร ไม่ใช่ดูแบบขโมยจะปล้นบ้านนะครับ แต่เป็นการเก็บข้อมูลว่า หมอนวดท่านนี้เป็นคนยังไงนั่นเอง.. นอกจากเขาจะเป็นคนชอบสูบบุหรี่แล้ว เขายังชอบกิจกรรมการต่อสู้ สังเกตุจากมีขวดโหลปลากัด หลากหลายพันธุ์ หลายขวด อยู่ข้างๆ ที่นวด พี่เขาบอกว่า เคยเล่นไก่ชน แต่ตอนนี้เลิกแล้ว หันมาเลี้ยงปลากัดแทน อืม.. อย่างนี้เขาเรียกว่า หนีการต่อสู้ยังไม่พ้น.. ไม่รู้ว่าชีวิตหมอนวดจะยังไงต่อ เพราะผมทราบจากหลวงพ่อมาว่า ใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันจากการเอาสัตว์มาต่อสู้กัน จะเป็นบาปติดตัว เพราะทรมานสัตว์ โอกาสจะไปตกนรกจะมีมาก..
ผมถือโอกาสช่วงรอหลวงพี่ เดินไปโทรฯหลังบ้าน พอออกไปนอกประตูเท่านั้น ก็ผงะ ภาพที่เห็นเบื้องหน้า คือ ขวดเหล้า และซองบุหรี่ วางอยู่เกลี่อนโต๊ะ ของวางระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบ บ่งบอกว่าหมอนวดท่านนี้ ศีลข้อ 5 แทบจะไม่เหลือ ไม่รู้ว่าข้ออื่นๆ จะไปหมดด้วยหรือเปล่า นอกจากนี้ ยังมีตู้ปลานิลอยู่ตู้นึง ในตู้มีปลานิลเพียงตัวเดียวเท่านั้น ผมก็แปลกใจว่าทำไมเหลือแค่ 1 ตัว เมื่อจะเล่นกับมัน ปรากฏว่า มันไม่ใช่ปลานิลธรรมดา มันเป็นปลานิลนักสู้ครับ.. เห็นภายนอกนิ่งๆ น่าจับ น่าเล่น แต่พอเอามือไปใกล้ๆมัน มันแยกเขี้ยว อ้าปากกว้าง ชนกระจกตู้ปลา แบบไม่กลัวเจ็บเลย โอ้โห ผมคิดในใจ ขนาดปลายังเป็นอย่างนี้ แล้วเจ้าของจะเป็นอย่างไร คงจะเป็นนักสู้เป็นแน่แท้.. ผมกลับมารอหลวงพี่ต่อ คราวนี้ ผมบอกกับหลวงพี่ว่า ผมขอไม่นวดกับหมอแน่นอน เพราะรู้สึกไม่ดี และไม่ชอบนิสัยเขาด้วย ในใจมันปฏิเสธไปเรียบร้อย ก็เลยบอกหมอไปว่า ไม่ขอนวด เพราะต้องรีบกลับวัด มีงานรออยู่ ซึ่งผมเองก็มีงานรออยู่มากมายอยู่แลัว จึงไม่เป็นการโกหกแต่อย่างใด.. พอหมอทราบเท่านั้น สักพักเขาก็ผละจากการนวดหลวงพี่ เดินตรงมาหาผมทันที ผมแทบจะตั้งตัวไม่ถูกเลย ..
เหมือนถูกมนต์สะกด ลึกๆ ก็อยากนวด เพราะเมื่อย และเส้นติดมานาน “ลองสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอก แป๊ปเดียว” หมอนวดพูดให้ผมสบายใจ แล้วก็เริ่มลงมือดัดกระดูกคอ และหลังผมอย่างนิ่มนวล หลังจากมีเสียง กร๊อบๆ ติดต่อกัน 3 ที ผมก็รู้สึกถึงความโล่ง โปร่ง เบา สบายคอ อย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกอยากนวดต่อมันเกิดขึ้นมา แต่ก็ต้องรักษาฟอร์มไว้ ว่า “ขอบคุณมากครับพี่ ผมรู้สึกดีมากเลยครับ แค่ 3 กร๊อบ เอง” “ ผมนวดไม่นานหรอก นวดนานๆ เสียเวลา เอาแบบเน้นๆ ให้หายไปเลย อยากนวดนานๆ ให้ไปที่อื่น” ผมให้ตังค์เขาไป 15 เหรียญ สำหรับ 3 กร๊อบ แทนที่จะเป็น 40 เหรียญ สำหรับการนวด 1 ชม. จากนั้น พี่หมอนวดก็กลับไปนวดหลวงพี่ต่อ พี่เขาพูดไประหว่างนวดว่า “ ผมอยู่บ้าน คนมาหา มาให้นวด ไม่ต้องไปหาลูกค้าให้ยาก หากเราทำอะไรจริงๆจังๆ และดีสุดยอดแล้ว เดี๋ยวจะมีคนมาหา”
ตรงนี้เอง ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า “การที่คนเราทำอะไรอย่างดีที่สุด จริงจังกับสิ่งที่ทำ จะมีคนเข้าใกล้ มาหาให้ใช้บริการ หรือให้การยอมรับนับถือ” ตรงกับหลักธรรมข้อว่า “ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา” หรืออิทธิบาท 4 ที่เป็นเหตุให้คนทำงานสำเร็จ เริ่มจากความรัก อุตสาหะ จดจ่อ และฝึกฝนในสิ่งนั้นๆ จนเป็นความสามารถเฉพาะตัวและมีชื่อเสียง หมอนวดท่านนี้ไม่ธรรมดาสำหรับผมซะแล้ว
คุยไป ตาก็มองไปรอบๆบ้าน ไปเจอกรอบรูปภาพคนสำคัญคนหนึ่งของประเทศไทย นั่นคือ คุณ สด จิตรลดา หรือที่คนไทยรู้จักกันสมัย 30 กว่าปีที่ผ่านมาว่า เป็นนักชกมวยแชมป์โลก ถ่ายรูปคู่กับพี่หมอนวดคนนี้อย่างใกล้ชิด ดูไปดูมา หน้าตาคล้ายๆกันซะด้วย ผมก็เลยถามเขาไปว่า “สด จิตรลดา เป็นอะไรกับพี่หรือเปล่าครับ?” “ พี่ชายพี่เอง ซ้อมชกมวยด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ” ผมเลยถึงบางอ้อ ว่า พี่หมอนวดท่านนี้เป็นักมวยนี่เอง มิน่าถึงมีนิสัยเกี่ยวข้องกับการต่อสู้.. และมีอีกหลายรูป ที่ติดฝาผนังบ้าน ที่ล้วนแล้วแต่เป็นดารานักมวยดังๆ ของเมืองไทย ที่ถ่ายภาพร่วมกับพี่เขา ไม่ว่าจะเป็น สามารถ พยัคฆ์อรุณ และนักมวยไทยมากมาย .. ตอนนี้หลวงพี่นวดเสร็จแล้ว. เราก็มายืนดูรูปกัน พร้อมๆกับหมอนวด ซึ่งเขาก็อธิบายอย่างละเอียดลออ ว่าภาพนี้คือใคร ต่อใคร มีอยู่รูปหนึ่ง เขาถ่ายภาพกับนักมวยไทย ซึ่งมีร่างกายบึกบึน กล้ามเนื้อใหญ่โตเป็นมัดๆ แข็งแรง หลวงพี่ก็พูดขึ้นมาว่า “นักมวยคนนี้กล้ามเป็นมัดๆ เลย” และพี่หมอนวดก็ตอบหลวงพี่ไป ซึ่งทำให้ผมศรัทธาในตัวพี่เขาขึ้นมาอีกมาก..
พี่เขาบอกว่า “นักมวยก็มีกล้ามเนื้อที่เป็นจุดแข็ง ไม่เหมือนพระ ที่ต้องมีสติเป็นจุดแข็งเหมือนกัน” ประโยคนี้เอง ทำให้หลวงพี่และผมอึ้งไปเลย มันคือจุดเปลี่ยนในใจของผมที่นึกจินตนาการ คาดเดาในใจว่า พี่หมอคนนี้คงจะเอาดียาก เพราะชีวิตมีแต่เรื่องการต่อสู้ และผิดศีลผิดธรรม แต่ในอีกมุมหนึ่งของเขา คือผู้มีธรรมในใจเหมือนกัน ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า สิ่งที่พี่เขาพูดคือความจริงแท้ จุดแข็งของนักมวยคือกล้ามเนื้อ เอาไว้เป็นเกราะป้องกันคู่ต่อสู้ ให้มีความเจ็บปวดน้อยช่วงอยู่ในสังเวียนเวที ยิ่งกล้ามเนื้อแข็งแรงเท่าไหร่ ก็สามารถทนแรงปะทะ และความเจ็บปวดมากเท่านั้น ส่วนพระ หรือนักบวช ต่างก็มีจุดแข็งเหมือนกัน แต่ไม่ใช่กล้ามเนื้อ แต่คือ “สติ” ที่ดำรงตน รักษาใจ ไม่ให้วอกแวก เป็นสมาธิ เป็นเสมือนพลังภายใน ที่ต่อสู้กับศัตรู คือ กิเลสทั้งหลาย ที่เข้ามาในใจ ท่านจึงสามารถดำรงเพศสมณะอยู่ได้ อย่างมั่นคง ยิ่งมีสติ และสมาธิ มากเท่าไหร่ ก็สามารถทนกระแสบาปอกุศล และสิ่งยั่วยวนใจ มากขึ้นเท่านั้น คนเราทุกคนก็เช่นเดียวกัน เราก็ควรจะมีจุดแข็งของเรา ในการต่อสู้กับกระแสโลก และชีวิตที่มีทั้งดี และร้าย สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแข็งของเรา คือ สติ และกำลังใจในการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องร่องรอย อยู่ในศีล ในธรรม ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่นอกใจคู่ ไม่พูดปด และเสพของมึนเมา ชีวิตจึงจะเจริญก้าวหน้า และประสบความสำเร็จ และจุดแข็งอื่นๆ อีกมากมาย ที่เราคิดว่า เป็นตัวตนของเรา ที่จะทำให้เรามีหน้าที่การงานที่ดี มีความสุขในชีวิต ฉะนั้นลองถามตัวเราเองว่า "อะไรคือจุดแข็งของเรา" และเราจะรักษาจุดแข็งของเราได้นานแค่ไหน
เอวังด้วยประการะฉะนี้
(จบบริบูรณ์ The End)
ผู้เขียน : Sophon Ruennakarn จาก facebook
https://www.facebook.com/sophon.ruennakarn
ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา