การเกิดใหม่ในโลกใบเก่าของผม (My Rebirth in The Old World)


ตอนที่ 1.แม่สีในใจ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ การได้อัตภาพป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก แต่การดำรงตนให้สมกับการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่งกว่า”  เป็นพุทธสุภาษิตที่เราเคยได้ยินมาบ้าง ไม่มาก ก็น้อย  น้อยคนนักที่จะตระหนักถึงพุทธสุภาษิตอันนี้  เพราะคนส่วนใหญ่มองว่า คนเราเกิดกันมากมายก่ายกอง แทบทุกวัน  สถิติในปี 2006 พบว่า มีเด็กเกิดประมาณ  360,000 คน ต่อวันทั่วโลก  แต่ชีวิตอื่นๆที่อยู่กับมนุษย์ เช่น มด แมลง สัตว์ต่างๆ มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งก็คงไม่ต้องพูดถึงว่า สัตว์เหล่านี้จะมีอัตราการเกิดต่อวันเท่าไหร่  คำตอบก็คือ มากมายมหาศาลกว่าอัตราการเกิดของมนุษย์อย่างแน่นอน  ฉะนั้นเราก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า  การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร  และการเกิดแต่ละครั้งก็นำมาซึ่งการเสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ของมารดา ที่ต้องทนอุ้มท้องลูกนานกว่า 9 เดือน และให้กำเนิดลูกออกมาดูโลกอย่างปลอดภัย  และมีชีวิตรอดอยู่ในโลกใบนี้อย่างมีความสุข
แต่ชีวิตไม่ได้เป็นดั่งที่เราคาดหวังดังที่เราตั้งใจไว้  เหตุเพราะมนุษย์เกิดมาภายใต้กฏแห่งกรรม ซึ่งเป็นกฏธรรมชาติที่มามีแต่ดั้งเดิม  ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ใครทำดีย่อมได้ดี มีความสุข มีความปลอดภัย มีความเจริญ  หากใครทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว มีความทุกข์และความเสื่อมเป็นผล   กฏแห่งกรรมนี้เองที่เป็นตัวกำหนด คุณสมบัติของมนุษย์ ว่ามีคุณค่ามากน้อยเพียงใด  ใครทำดีมาก มีความใสของใจมากเท่าใด ก็จะมีคุณค่ามาก ใครทำดีน้อย หรือทำชั่วมาก คุณค่าของความเป็นมนุษย์ก็น้อยลงไปตามส่วน  ใจเราถูกปนเปื้อนด้วยเรื่องราวต่างๆรอบตัว ทั้ง ดีและไม่ดีในแต่ละวินาทีทีผ่านไป  ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ยากที่จะรักษาคุณค่าของความเป็นมนุษย์ให้ได้ตลอดเวลา   หากไม่ได้ฝึกใจให้ใสตลอดต่อเนื่อง และทำความดีให้คุ้น   มนุษย์จึงถูกเรียกอีกอย่างว่า  “คน”  เพราะระคนไปด้วยความโลภ ความโกรธ และความไม่รู้หรือหลงผิดจากความเป็นจริง เปรียบเหมือนแม่สีสามสี ที่ปนเปื้อนอยู่ในใจ ที่ทำให้ใจที่เคยใสสะอาด สีขาว กลับกลายเป็นสีที่ผสมไปต่างๆนานามากมาย   ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ ที่บางวันเราอยากได้โน่น ได้นี่ โกรธคนนั้น คนนี้ อารมณ์หงุดหงิด  คิดผิดบ้าง เห็นผิดบ้าง ไม่เข้าใจอะไรมากมายหลายอย่าง  เพราะใจถูกปนเปื้อนด้วยสีสามสี นั่นเอง


ตอนที่ 2.จิตรกรของผม 
ผมค่อนข้างโชคดีที่มีชีวิตที่ค่อนข้างอยู่ในแวดวงของคนดีๆ ที่คอยประคับประคองให้อยู่ในเส้นทางของความสะอาด บริสุทธิ์ของใจ แม้จะไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ก็สะอาดพอที่จะเห็นความเป็นจริงของชีวิต ว่าเราเกิดมาสร้างความดี เติมความบริสุทธิ์ให้กับตนเอง  บำเพ็ญประโยชน์ให้กับผู้อื่น   คนดีๆเหล่านี้ ได้แก่  คุณพ่อ คุณแม่ พี่น้องในครอบครัว ที่ล้วนแต่มีพระคุณที่เป็นต้นแบบแห่งการทำความดี ไม่คดโกงใคร ใม่ทำร้ายใคร ไม่เบียดเบียนใคร แนะนำแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์ และปลูกฝังให้ทำความดีตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าวัด ทำบุญ เป็นต้นแบบคนดีในสังคม  ไม่คิดไม่แปลก  เพราะเพื่อนผมหลายคนต้องเสียคน ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขาดต้นแบบในการทำความดีในครอบครัวนั่นเอง    คุณพ่อ คุณแม่ และพี่ๆจึงเป็นเหมือนนักจิตรกรในบ้านที่บรรจงวาดภาพแห่งความดีงามเข้าไปในใจของผม และเป็นแรงผลักดันให้ผมเข้าไปสู่เส้นทางแห่งความปลอดภัยและความสำเร็จ ทั้งในเรื่องการศึกษา และการทำงาน


ตอนที่ 3. เกิดใหม่ครั้งแรก
ฟังดูก็แปลก เกิดแล้ว จะเกิดใหม่ได้อย่างไร และเกิดใหม่ ก็ไม่ใช่การเกิดครั้งแรก แต่การเกิดใหม่ในที่นี้ผมหมายถึง การเกิดในเส้นทางแห่งความดี ที่ยากที่คนธรรมดา จะทำได้ เป็นเส้นทางของผู้ที่อยากจะลบสีสามสีออกไปจากใจ ให้เหลือแต่สีขาวล้วนๆ นั่นคือ การเข้าสู่เพศสมณะ ในปี พ.ศ. 2537 เมื่อผมมีอายุย่างเข้า 20 ปี 
เป็นการตัดสินใจอย่างฉับพลัน เพราะเชื่อว่า การได้บวชให้พ่อแม่ จะเป็นการตอบแทนพระคุณท่านที่ได้ให้กำเนิดมาเป็นมนุษย์ได้อย่างดีที่สุด อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ หากจะแบกบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองข้าง คอยป้อนน้ำ ป้อนข้าว ให้ท่านถ่ายหนัก ถ่ายเบา ดูแลท่านเป็นอย่างดี ตลอดชีวิตของท่านอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นการตอบแทนพระคุณท่านได้หมด สิ่งที่จะตอบแทนพระคุณท่านได้ดีที่สุด คือการแนะนำให้ท่าน ได้ทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิ ทำให้ใจผ่องใส เพราะสามสิ่งนี้ จะเป็นทางมาแห่งบุญกุศล ให้ใจท่านใสสะอาด และส่งผลให้ท่านละโลกนี้ไปอย่างผู้ชนะ มีความสุขในสัมปรายภพ 
การบวชเป็นพระในครั้งนั้น จึงเหมือนเป็นการเกิดใหม่ของผม เพราะชีวิตได้เปลี่ยนจากผู้นับถือพระรัตนตรัย มาเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย คือ พระสงฆ์ นั่นเอง และรู้สึกภาคภูมิใจที่ผ่านช่วงเวลานั้นมา แม้ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ ในช่วงปิดภาคฤดูร้อนแค่ 2 เดือน แต่เป็น 2 เดือน แห่งความทรงจำ แห่งความบริสุทธิ์ แห่งความเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง ที่รู้จักธาตุแท้แห่งความเป็นผู้ชาย ที่ไม่ใช่แค่แข็งแรงแค่ร่างกาย แต่มันคือ ความเข้มแข็งของจิตใจ ที่ต้องฟันฝ่า ต่อกระแสของกิเลสนั่นเอง



ตอนที่ 4. การเกิดใหม่อีกครั้ง
“ชีวิตเป็นของน้อย เหมือนพยับแดดที่ไม่นานก็ผ่านพ้นเมฆ เหมือนหยาดน้ำค้างปลายยอดหญ้าที่ไม่นานก็ระเหยหายไป” ชีวิตของเรา ของเขา และของใครๆ รอบตัวเรา ก็เช่นเดียวกัน ที่เกิดมาก็เดินทางกันไป ต่างกันที่เวลาที่เหลืออยู่เท่านั้น ว่าใครจะใช้ได้คุ้มค่ากว่าใคร ใครจะไปรู้ว่าพรุ่งนี้จะมีลมหายใจหรือเปล่า ใครจะไปรู้ว่าคนใกล้ตัวเราจะยังอยู่ให้เราเห็นหน้าหรือเปล่า ชีวิตคนเราจึงเหมือนกับระเบิดเวลาที่ไม่มีสลัก ที่พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา เหมือนนมกล่องที่ไม่ระบุวันหมดอายุ ถ้าเราไม่ประมาทในการทำความดี เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตายแล้วไปไหน เพราะผลแห่งความดีย่อมพาเราไปที่เราชอบแน่นอน (ที่ดีๆ) 
คุณพ่อของผม อายุย่าง 82 ปีแล้ว ท่านแข็งแรงมาก สามารถปั่นจักรยานได้ไกลหลายกิโลเมตร ทำสวน ซ่อมบ้าน เดินเหินไปไหนต่อไหน ได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องพึ่งไม้เท้า นอกจากนี้ท่านยังเป็นคนใจบุญ รักการทำบุญ ไปวัด สวดมนต์ นั่งสมาธิ ก่อนนอนทุกวันไม่เคยขาด เ ช่นเดียวกับคุณแม่วัย 80 ปี ที่ใส่บาตรทุกเช้า ทำอย่างที่พ่อทำ ทุกวัน เป็นต้นแบบให้กับลูกหลานมาโดยตลอด น่าอนุโมทนาบุญเป็นอย่างยิ่ง แต่คุณพ่อก็ไม่พ้นความจริงของโลกและชีวิต นั่นคือความแก่ และความเจ็บป่วย ที่มาเยือนด้วยโรคถุงลมโป่งพอง อันเป็นโรคจากการสูบบุหรี่จัด ซึ่งทราบว่าพ่อเลิกสูบบุหรี่มานานกว่า 40 ปีแล้ว
ท่านต้องไปหาหมอบ่อยๆทุกอาทิตย์ เพื่อตรวจปอดและรับยา ให้บรรเทาอาการหายใจติดขัด แต่ท่านก็ไม่ได้หมดกำลังใจในการทำความดีแม้แต่น้อย ยังคงไปวัด สวดมนต์ นั่งสมาธิ อยู่อย่างเดิม ชีวิตของท่านกำลังนับถอยหลัง เช่นเดียวกับผม และอีกหลายๆคน ผมกลับมาทบทวนตนเอง ถึงเหตุการณ์เมื่อ 19 ปีที่แล้ว ที่เราเคยตอบแทนพระคุณท่าน ทำความดีอย่างเข้มข้นด้วยการบวชพระเอาบุญให้ท่าน มันกลับมาอีกครั้ง เป็นเหมือนสัญญาใจ ทีไม่เคยให้ไว้กับตนเองมาก่อน ที่นึกในใจว่า “ ขอได้มีโอกาสอีกสักครั้ง” และสิ่งๆต่างๆ ก็เริ่มเปิดช่อง ให้สัญญาใจนี้ได้ช่องทางแห่งความเป็นจริง ผมคิดว่า ผมกำลังจะเกิดใหม่อีกครั้ง เป็นการเกิดครั้งที่ 3 ในชีวิตของการเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อให้เอาบุญให้คุณพ่อให้หายป่วยโดยเร็วพลัน


ตอนที่ 5 เห็นแก่ประโยชน์ตน ใช่เห็นแก่ตัว (ตอนสุดท้าย)
ทำไมบางทีเราทำงานมากๆแล้วได้ผลงานออกมาน้อย มีแต่ปัญหา ทั้งๆที่ทำอย่างเต็มที่ ขยัน ไม่อู้งานเลย แต่คนอื่นที่เขาทำนิดเดียว แต่ทำไมผลงานออกมาเข้าเป้า ประสบความสำเร็จ มีแต่คนยกย่อง เปรียบคล้ายกับคนตัดฟืน ที่ยิ่งขยัน ยิ่งตัดไม้ได้น้อยลง แต่พอมาดูขวานที่ตนเองตัดฟืนทื่อ ไม่มีความคมเหลืออยู่เลย จึงรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องหยุดตัดไม้ แล้วเอาเวลาที่หยุดนั้น มาลับขวานตนเอง แล้วค่อยกลับไปตัดฟืนใหม่ ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราจะประสบความสำเร็จในการทำสิ่งใด นอกจากจะมีความรัก วิริยะ จดจ่อ ในงานที่ทำแล้ว ยังต้องมีการทบทวนพิจารณาว่าเราขาดตกบกพร่องสิ่งใด แล้วจึงค่อยเปลี่ยนวิธีการทำงานให้สำเร็จ ภาษาพระเรียกว่า “วิมังสา” รถยนต์ยังต้องมีการเข้าอู่ซ่อม เครื่องจักรต้องพักเปลี่ยนอะไหล่ ฉันใด ใจเราก็ต้องมีเวลาพักผ่อนคลายให้สงบ เป็นสมาธิ จนเกิดปัญญาเห็นช่องทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ดีงาม และมีความสุขต่อไป การเกิดใหม่ในครั้งที่ สามของผม ด้วยการบวชเป็นพระในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการผิดประเพณีของการบวช อย่างที่ใครๆเรียกกันว่า ชาย 3 โบสถ์ เพราะโบสถ์ในที่นี้ ท่านหมายถึงความเชื่อ ผู้เปลี่ยนความเชื่อกลับไปกลับมา 3 ครั้ง โบราณท่านบอกว่า เป็นคนคบไม่ได้ ของผมไม่ใช่เป็นอย่างนั้นอย่างแน่นอน ( แค่ 2 อุโบสถ) ความเชื่อเดียวเท่านั้น คือพระพุทธศาสนา รับรองไม่ผิดประเพณีการบวชแต่อย่างใด... 
การบวชในครั้งนี้จะเป็นการบวชเพื่อประโยชน์ตนและส่วนรวมในเวลาเดียวกัน เพราะนอกจากผมจะได้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ และเอาบุญให้พ่อหายป่วยโดยเร็วแล้ว ยังเป็นการหยุดพักใจให้สงบ เพื่อเกิดดวงปัญญาในการทำงานต่อไป เป็นการขัดเกลาจิตใจให้เกลี้ยง เหมือนรถยนต์ที่ต้องพักซ่อมแซมปรับปรุงให้อยู่ในสภาพที่จะลุยต่อไปข้างหน้า และที่สำคัญคือ การตอบแทพระคุณผู้ให้กำเนิดทางธรรมแก่ผม คือ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งท่านจะมีอายุครบ 70 ปีในวันที่ 22 เมษายน หากไม่มีท่าน ผมก็คงไม่ได้บวชในครั้งแรก และไม่มีโอกาสมาต่างประเทศ มาทำงานพระศาสนา ทำหน้าที่เป็นแสงสว่างแห่งธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กับผู้คนอีกมากมายที่พบ ในขณะที่อยู่ในเพศสมณะ ตัวเราปลื้ม พ่อแม่ญาติพี่น้องก็จะปลื้ม สาธุชนจะปลื้ม ผู้อนุโมทนาและเทวดาจะปลื้ม เพราะได้มีส่วนในบุญในการสนับสนุนการบวชในครั้งนี้.. ก่อนที่จะได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ หากผมได้ประพฤติผิดพลาดล่วงเกินต่อทุกท่านไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลับ จะมีเจตนาหรือไม่มีก็ตาม ย้อนไปอดีตหลายพัน หมื่น แสนชาติก็ตาม ขอท่านทั้งหลายได้ยกโทษ อโหสิกรรม ให้กับผม เพื่อความบริสุทธิ์แห่งการบรรพชาอุปสมบทในครั้งนี้ และขอผลแห่งบุญที่จะเกิดขึ้นจากการบรรพชาอุปสมบทของผมในครั้งนี้ จงถึงแก่ทุกท่าน โดยถ้วนหน้ากันเทอญ..

เข้าวัดอบรมเป็นนาค
23 กพ-8 มีค. 2557
บรรพชา
8 มีนาคม 2557
อุปสมบท ณ วัดพระธรรมกาย
13 มีนาคม 2557
จำพรรษา ณ วัดพระธรรมกาย 30 วัน
จำพรรษา ณ จ.ลำปาง
(พระพี่เลี้ยง) 45 วัน
รวมเข้ารับการอบรม 2 เดือน 15 วัน

ผู้เขียน : Sophon Ruennakarn จาก facebook
https://www.facebook.com/sophon.ruennakarn
ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว
ภาพประกอบจาก facebook

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Cast Away จากภาพยนต์สู่เรื่องจริง : การต่อสู้ของมนุษย์เพื่อเอาชีวิตรอดกลางมหาสมุทร

ผมมีอะไรเล่าให้ฟัง กับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือน...สำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้

ฉันชื่อ "โอกาส"