ใจเปลี่ยนได้ทุกสิ่ง ( Everything is possible with the mind power)


ตอนที่ 1 ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ
หากเราสังเกตดีๆ จะพบว่าในชีวิตประจำวันเรานั้น มักจะวนเวียนอยู่กับเรื่องของใจ อยู่ตลอดเวลา บางทีเราก็สังเกตได้ บางทีเราก็ลืมไปบ้าง มีคำโบราณมากมายที่พูดถึงเรื่องของใจไว้ เช่น ใจหายใจคว่ำ ,ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว , ตกใจ, ใจตก, ไม่เข้าใจ, ใจคอไม่ดี, ปันใจ, ดีใจ, เสียใจ, เศร้าใจ, ใจสั่น, สิ้นใจ เป็นต้น คำโบราณเหล่านี้ ไม่ใช่ถูกใช้แบบลอยๆ แต่ล้วนแล้วแต่มีความหมายลึกซึ้ง ที่เราคาดไม่ถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เคยตรัสไว้ชัดเจน ว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ” และพระอริยสาวก ตลอดจนครูบาอาจารย์นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ต่างเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ค้นพบ นำมาถ่ายทอด จากคนยุคแรก จนถึงปัจจุบัน ฉะนั้น คำที่เกี่ยวข้องด้วย ใจ จึงเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ในปัจจุบัน น้อยคนนักจะซาบซึ้งถึงคำต่างๆเล่านี้ หากไม่ได้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ จนเกิดปัญญาเข้าใจเรื่องของใจ 
ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจ ( ใจที่ถูกสนเข้าไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหมือนการสนเข็ม) ในเรื่องของใจ แม้จะไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมตัวยง ที่บรรลุธรรม มีฤทธิทางใจ เหมือนพระอริยะ หรือหลวงปู่ หลวงพ่อ แต่ในฐานะของอารามบอยคนหนึ่ง ก็ควรที่จะรับรู้ เข้าใจ ( เอาใส่เข้าไปในใจ) เพื่อจะได้อยู่วัด แบบไม่เสียข้าวสุกหลวงพ่อ ที่โยมมาถวายทุกวันด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า คิดว่าน่าจะให้ธรรมะ หรือประโยชน์ แก่คนที่สนใจเรื่องธรรมะ หรือคนมาวัดบ้าง ไม่มากก็น้อย และในครั้งนี้ ผมจึงอยากจะเอาเรื่องของ “ฤทธิทางใจ” มาถ่ายทอด ในแบบฉบับประสบการณ์ตรง ที่ไม่ลอกเลียนใคร เพราะหากเราได้ประสบพบอานุภาพของใจ ด้วยตัวเราเองแล้ว เราก็สามารถพูดได้เต็มปาก เต็มคำว่า “ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีจริง ดีจริง เราได้ลองทำดูแล้ว ได้ผลจริง ตามที่พระองค์สอน” เหมือนกับการที่เราจะโฆษณา ชวนคนซื้อขนม สักอย่างหนึ่ง หากเราไม่ได้ชิมขนมเอง เราก็ยากที่จะบอกคนอื่นว่า มันอร่อยยังไง ฉันใด ก็ฉันนั้น…

ตอนที่ 2 ฤทธิทางใจ พลังจากใจหยุดนิ่ง
ถ้าพูดถึงฤทธิทางใจ ความหมายในพระพุทธศาสนา นั้นคือ ความสามารถทางใจ ที่สามารถทำในสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์ธรรมดา จะสามารถทำได้ เช่น การระลึกชาติ การอ่านใจผู้อื่น การทำกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ จะทำได้ก็ต่อเมื่อ ใจมีพลังหยุดนิ่งมากๆ เหมือนเลนส์นูนที่รวมแสงอาทิตย์ไว้จุดเดียว นิ่ง จนเกิดพลังความร้อนที่สามารถเผาผลาญสิ่งต่างๆได้ หรือเหมือนกับ ตาของพายุ ที่หยุดนิ่ง ตรงศูนย์กลางของพายุ มีพละกำลังมหาศาลที่จะทำลายสิ่งต่างๆที่มันผ่านไป ฉันนั้น… สิ่งที่ผมว่ามานี้ หนีไม่พ้น เรื่องของการทำสมาธิ นั่นเอง ฉะนั้น หากใครอยากมีฤทธิทางใจ มากๆ ก็ต้องหมั่นฝึกใจให้มีพลัง และหยุดนิ่งตรงกลาง ด้วยการฝึกสมาธิ แต่ที่สำคัญคือ ต้องเป็นสมาธิที่เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เกิดโทษ ที่เกิดขึ้นเพื่อทำลายล้างผลาญกันนั่นเอง แม้เราจะเข้าใจฤทธิทางใจว่ามีจริง แต่ความเป็นจริงก็คือ เรายังทำไม่ได้อย่างที่พระอรหันต์ หรือพระอริยะ หลวงปู่ หลวงตา ท่านทำกัน หลายคนจึงไม่อยากจะนั่งสมาธิ และพาลไปว่าการฝึกสมาธิ ทำให้บ้าบ้าง ทำให้เห็นวิญญาณร้ายบ้าง ทำให้เสียเวลาบ้าง อย่างนี้เรียกว่า แค่คิดก็ได้บาปแล้ว เพราะเข้าข่าย “มิจฉาทิฏฐิ” หรือความเห็นผิดจากความเป็นจริง… ผมกำลังจะบอกทุกคนได้รู้ว่า อานุภาพของใจ จากการฝึกสมาธินั้น มีจริงๆ และผมก็ประสบด้วยตัวผมเอง หลายๆครั้ง แม้จะไม่ได้หวือหวา แต่ก็พอจะเป็นกำลังใจให้ใครต่อใคร หันมาฝึกใจด้วยการฝึกสมาธิบ้าง ไม่มาก ก็น้อย…

ตอนที่ 3 สมาธิแบบเด็กๆ ช่วง 1/2
เรื่องราวของ ฤทธิทางใจ ที่ผมสัมผัสได้ และจำได้แม่น ก็สมัยตอนที่ผมยังอายุราวๆ 6-7 ขวบ เป็นการทดลองใช้ ฤทธิทางใจ แบบเด็กๆ ด้วยการสั่งสมบุญ และอธิษฐานจิต แล้วหลังจากนั้น ความจริงกับสิ่งที่อธิษฐานก็ตรงกัน…วันนั้นเป็นวันที่ 15 เมษายน ราวปี 2523-24 ผมได้มีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง คือ วัดพระธาตุลำปางหลวง ช่วงนั้นเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ และผู้คนจากทุกสารทิศ จะมุ่งหน้าไปทำบุญ ณ วัดแห่งนี้ เพราะมีความเชื่อว่า ผลบุญจะส่งผลให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง และประสบความสำเร็จ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต ที่เก่าแก่ และพระธาตุสีทององค์ใหญ่ที่สูงตระหง่าน มองเห็นจากไกลๆ ที่เรียกว่า พระธาตุลำปางหลวงนั่นเอง… ตอนนั้นผมถูกจูงมือไปกับคุณแม่ตลอดเวลา ในระหว่างที่เดินเข้าไปในบริเวณวัด ซึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คน มากมาย หญิงชาย ลูกเล็ก เด็กแดง เต็มวัดไปหมด แทบจะไม่มีที่เดิน ผู้คนเหล่านี้ต่างมีศรัทธาอย่างยิ่งที่จะมาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไหว้องค์พระแก้วมรกต ตลอดจนการบูชาพระธาตุลำปางหลวง ผมไม่รู้จักใครเลย นอกจากคุณแม่ของผมเอง ไม่กล้าผละมือจากท่าน เพราะกลัวหลง และอาจจะถูกลักพาตัวได้ แม่บอกว่า “อย่าไปเล่นที่ไหน ถ้าไปไหนไกล เดี๋ยวผีจะเอาไปซ่อน” ผมกลัวคำที่แม่บอกมาก จึงไม่คิดที่จะไปไหนไกลเลย ได้แต่มองตรงนั้น มองตรงนี้ และแล้ว แม่ก็พาผมมาถึง จุดทำบุญที่ พระธาตุลำปางหลวงสีทอง ที่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็มีความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

ตอนที่ 4 สมาธิแบบเด็กๆ ช่วง 2/2
ผมสังเกตผู้คนต่างเข้าแถวรอคิวทำบุญกับองค์พระธาตุกันมากมาย เขาจะเข้าไปทำบุญก่อน ด้วยการหยอดเงินในตู้รับบริจาค แล้ว ก็หยิบกระแป๋งสีทองแดงเล็กๆ ข้างในนั้นมีน้ำขมิ้น ส้มป่อย ซึ่งทางภาคเหนือนิยมใช้เป็นน้ำสรงพระพุทธรูป และพระธาตุ ตลอดจนรดน้ำ ดำหัวผู้ใหญ่ อีกด้วย ฉะนั้นน้ำขมิ้น ส้มป่อย จึงเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ใครๆต่างใช้เป็นอุปกรณ์ในการสั่งสมบุญนั่นเอง… ผมรอคิดกับแม่ไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ทำบุญ แม่ก็เอาตังค์ให้มา ซึ่งผมจำไม่ได้ว่ากี่บาท แล้วก็รับน้ำขมิ้น ส้มป่อย มา 1 กระแป๋ง กระป๋องนี้จะถูกผูกกับสายลวดที่ขึงจากฐานพระธาตุ ไปสู่ยอดพระธาตุ ยาวมาก ราวๆ 100 เมตร เห็นจะได้ จากนั้น แม่บอกผมว่า “ อธิษฐานซิ” ผมจึงหลับตาสักครู่ แล้วเปล่งคำอธิษฐานออกมาจากปาก โดยไม่อายใครที่อยู่ตรงนั้นเลยว่า “ ขอให้ผมเรียนเก่งๆ เรียนได้เกรด 4 ทุกวิชาด้วยเถิด” จากนั้นเจ้าหน้าที่ให้ผมดึงลวด เพื่อขับเคลื่อนกระแป๋งน้ำส้มป่อย ขึ้นไปสู่ยอดพระธาตุ ด้วยระบบชักรอก อย่างช้าๆ ใจผมตื่นเต้นมาก ไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน ใจมันลอย และมีความสุขมาก ที่ได้ทำบุญแบบนี้ พอน้ำสัมขมิ้นส้มป่อย ถูกผมกระตุกรดยอดพระธาตุเสร็จ ผมก็ไปทำบุญอื่นๆกับแม่ ความรู้สึกปลื้มในบุญนั้น ยังไม่เลือนจากใจผมไปเลย แม้ถึงปัจจุบัน …และมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ผมได้พบคือ หลังจากผลเกรดออกมาในเทอมนั้น ผมได้ 4 เกือบทุกวิชา ซึ่งแม้จะไม่ตรงกับที่อธิษฐานไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่สิ่งที่ผมได้สัมผัสได้คือ “อานุภาพของใจ เมื่อได้ฝึกสมาธิ แม้ชั่วครู่ ก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีในชีวิตได้” การอธิษฐานจิต เป็นเสมือน การตั้งเป้าหมาย หรือการตั้งหางเสือเรือ ในการเดินทางในชีวิต โดยมีบุญ และความดีเป็นทุน หากอธิษฐานจิตดี กำกับไว้ เป้าหมายชีวิตก็จะชัดเจน ไม่สะเปะสะปะ ไม่เสียเวลาในการดำเนินชีวิต และชีวิตก็จะเดินทางไปสู่ความสุข ความสำเร็จที่แท้จริงได้ ในเวลาอันสั้น
ตรงกันข้าม หากเราทำความดี หรือทำบุญแล้ว ไม่อธิษฐานจิต เปรียบเหมือน การมีเสบียง และน้ำมันไว้เต็มที่ แต่เดินทางไปอย่างไร้เป้าหมาย แวะโน่น แวะนี่ ไม่นาน เสบียงก็หมด และก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ควรจะไป และมักจะพูดว่า บุญไม่ส่งผลบ้าง ทำไมบุญส่งผลช้าจัง อย่างนี้ถือว่า ทำไม่ถูกหลักวิชชา…

ตอนที่ 5 บุญเข้มข้น อธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ - ช่วง 1
เชื่อหรือไม่ว่า แค่ 5 นาที สามารถเปลี่ยนสถานการณ์จากคับขัน เป็นมหัศจรรย์ ได้ ในส่วนตัวผมแล้ว หากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง ก็จะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เพราะมันสามารถเปลี่ยนได้จริงๆ แต่มีเงื่อนไขว่า บุญหรือความดีที่เราทำมานั้น ต้องเข้มข้นพอสมควร เหมือนกับการที่เราจะชะล้างความสกปรก ออกจากสิ่งใด เราก็ต้องเอาน้ำดีๆ ปริมาณมากพอสมควร ที่จะชะล้างความสกปรกออกไปให้หมดได้ การใช้น้ำเพียง 1 แก้ว ก็คงจะสู้การใช้น้ำ 1 กะละมัง ในการล้างความสกปรกออกไม่ได้ และยิ่งมีน้ำอยู่มาก ก็ยิ่งจะอุ่นใจ ที่พร้อมจะชำระความสกปรกออกไปอีกมากมาย ฉันใดก็ฉันนั้น ความดีหรือบุญที่น้อยเกินไป ก็มิอาจจะมีพลังให้อุปสรรค หรือบาปมีกำลังอ่อนแรงและหมดไป …
หลังจากที่ผม ได้มีโอกาสเข้าโครงการอบรมธรรมทายาทและอุปสมบทหมู่ ในเดือนมีนาคม- เมษายน 2537 ผมรู้สึกว่า ตนเองมีคุณค่ามาก ที่รู้สึกอย่างนั้นเพราะเหตุที่ทั้งร่างกาย และจิตใจ ถูกหล่อหลอมด้วยธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 2 เดือนก็ตาม เพราะเหตุที่บุญจากการบวช เป็นบุญใหญ่ และเข้มข้นบุญหนึ่ง ที่ผู้บวช ได้อานิสงส์ถึง 32 กัปน์ 1 กัปน์ คือช่วงเวลาที่เปรียบเหมือน การเติมเมล็ดพันธ์ผักกาด ใส่ลงไปในหลุม กว้าง ยาว และลึก ด้านละ 16 กิโลเมตร 100 ปี ใส่ลงไปในหลุม 1 เมล็ด จนกระทั่งเต็มหลุม ระยะเวลานี้ 32 ครั้ง คือความยาวนานของการส่งผลของบุญจากการบวชพระ … ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงทำให้ผม ได้เจออานุภาพของการอธิษฐานจิต ที่จะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ 
วันที่ผมต้องเดินทางกลับสู่บ้านเกิด หลังการอบรมธรรมทายาท ในช่วงเดือนพฤษภาคม ผมต้องนั่งรถบัส ไปลงที่จังหวัดพิษณุโลกก่อน เพื่อไปแวะช่วยงานอบรมค่ายวัยรุ่น คุณธรรม ณ ธุดงคสถานพิษณุโลก พอเสร็จการอบรม ผมจึงเดินทางกลับบ้านเกิด คือ จังหวัดลำปาง ด้วยรถบัสอีกเช่นเดิม ปกติรถบัสที่เดินทางจากพิษณุโลก ไปลำปาง ต้องเป็นรถที่ผ่านมาจากจังหวัดอื่น และไม่แน่นอนว่า จะมากี่โมง ชัดเจน สิ่งที่ผู้โดยสารต้องทำใจ คือ รอจนกว่ามันจะมา ผมเองไม่ได้คิดอะไรมาก ช้าหรือเร็ว ก็รอได้ ไม่ได้รีบอะไร แต่พอพบว่า การรอคอยเนิ่นนาน ไปถึง 2-3 ชั่วโมง ผมจึงเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ และกังวลใจว่า รถจะมาหรือไม่ เพราะเวลานั้น เริ่มเข้าสู่บ่ายแก่ๆ ประมาณ 4-5 โมงเย็นแล้ว ผมจึงตัดสินใจเข้าไปถามคนขายของชำ ใกล้ๆจุดรอรถบัส เขาให้กำลังใจผมดีมาก เขาบอกว่า “ รอไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มา” อืม ผมคิดในใจ นี่จะเรื่อยๆไปถึงเช้าหรือเปล่า ดีไม่ดี ก็อาจจะต้องนอนที่ป้ายรถบัสเลยก็ได้ จะกลับไปที่ธุดงคสถาน ก็ลำบากแล้ว เพราะไม่มีโทรศัพท์เรียกคนที่มาส่ง …. เหมือนบุญจัดสรร พระนิพพานสอดใจ ผมนึกถึงตัวเอง สภาพตอนนั้น เป็นทิดสึกใหม่ ที่มีผมสีดำขึ้นมาบางๆ พอแยกแยะระหว่างฆราวาสกับพระได้บ้าง ใจมันบอกตัวเองว่า “เราก็พึ่งจะสึกมา จากการอบรมธรรมทายาท ได้นั่งสมาธิทุกวันตลอด 2 เดือน เป็นพระได้บุญตลอด แล้วทำไมเราจึงไม่ใช้บุญบวชนี้ เอามาแก้ปัญหาตรงนี้” นึกได้ดังนั้น ผมจึงสงบสติ อารมณ์ แล้วกลับมานั่งบนม้านั่งยาว สำหรับผู้รอรถบัส ซึ่งขณะนั้น มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้น ….

ตอนที่ 6 ตอนที่5 บุญเข้มข้น อธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ - ช่วง 2
ผมปิดเปลือกตาเบาๆ ทำใจสบายๆ ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วน จากนั้น ภาพของผมในสมาธิ เปลี่ยนไปจากทิดสึกใหม่ ไปเป็นพระภิกษุห่มจีวร นั่งสมาธิ เหมือนในขณะที่กำลังอบรมธรรมทายาทอยู่อย่างนั้น เวลาผ่านไปสักพัก ใจผมเริ่มสงบ เป็นสมาธิ มีความสุข เหมือนกำลังอบรมอยู่ที่วัด แล้วผมก็นึกอธิษฐาน “ ด้วยบุญกุศล ที่ข้าพเจ้า ได้บวชเป็นพระในการอบรมธรรมทายาท ขอให้รถบัสที่กำลังรออยู่ จงมาแวะจอด ภายใน 5 นาที ด้วยเถิด” ผมอธิษฐานอย่างมั่นใจ มีความรู้สึกใจมีพลังมากตอนที่อธิษฐานอย่างนั้น เหมือนเป็นการเสี่ยงโชคอะไรบางอย่าง ผมอธิษฐานจิตเสร็จ ก็ทำสมาธิ หลับไปตาต่อไปอีกสักพัก
เสียงเครื่องยนต์ของรถบัส ผ่านเข้ามาในโสตประสาทของผม อย่างช้าๆ และชัดเจนมากขึ้นๆ เมื่อลืมตาดูขึ้น ก็พบว่า รถบัสที่ผมกำลังรอคอย กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างนิ่มนวล และพาผม กลับบ้านเกิด จังหวัดลำปาง อย่างปลอดภัย …บุญมีจริง ผลบุญมีจริง ผมมั่นใจว่าความเข้มข้นของบุญบวชพระ ประกอบกับการนั่งสมาธิ อธิษฐานจิต เป็นแรงผลักดันให้ทุกสิ่ง เป็นไปได้เสมอ….

ตอนที่ 7 ไม่โทร ไม่คุย พวกเขาก็มากันเอง
กัลยาณมิตร หรือมิตรผู้ชี้ประโยชน์ ชี้หนทางพระนิพพาน เป็นเพื่อนแท้ยามเรายาก แต่มิตรที่อยาก เราหาได้ทั่วไปไม่ยากเลย คนเราจะเสียคนก็เพราะเพื่อนนี่เอง เพราะหากเจอเพื่อนปอกลอก หรือพาไปสู่ที่ต่ำ ชีวิตเราก็จะตกต่ำตามเพื่อนนั่นเอง ผมเองมีเพื่อนที่ดี ที่เป็นกัลยาณมิตร ชักชวนมาทำความดีทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในสมัยที่อยู่ชมรมพุทธฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี 2539 ผมได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนพี่ๆ น้องๆ ในการเป็นประธานชมรมฯ หน้าที่ที่สำคัญที่มากับตำแหน่งคือ การนำสวดมนต์ และชวนสมาชิกมาร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นอะไรที่ขอบอกว่า ยากพอสมควร สภาพของมหาวิทยาลัย กับนักศึกษา ในยามเย็น ที่มีบรรยากาศของการเรียน การทำกิจกรรม และการเลี้ยงสังสรรค์เฮฮา เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงสำหรับการทำหน้าที่กัลยาณมิตร ชวนมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ… 
เย็นวันหนึ่ง ผมมาถึงชมรมฯ ก่อนเวลา ผมจึงใช้เวลาช่วงที่รอน้องๆพี่ๆ ด้วยการโทรศัพท์ ชวนน้อง คนโน้น คนนี้ พี่คนนั้น มาชมรม แต่โทรฯหาใครไม่ติดเลย ถึงติดก็ไม่อยู่ ต้องฝากข้อความไว้กับเจ้าหน้าที่หอพัก เมื่อเห็นว่าไม่สามารถชวนใครมาได้แล้ว และก็ได้เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็นแล้ว ผมจึงจัดอาสนะ รอไว้เต็มห้อง กะว่าจะให้เทวดามาสวดด้วย อะไรอย่างนั้น สวดมนต์ไป ก็รู้สึกว่า มีเพียงเสียงผม และเสียงสะท้อนของผมในห้องปฏิบัติธรรม เท่านั้นที่ช่วยกันสวดมนต์ แม้การสวดมนต์จะเสร็จสิ้นลง แต่พอหันหลังกลับ ก็พบว่า อาสนะยังคงว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม… 
ผมเปิดเสียงเทป ของหลวงพ่อนำนั่งสมาธิ จนใจตนเองสงบนิ่ง จนเสียงของหลวงพ่อเงียบไป ผมจึงนึกอธิษฐานไปว่า “ ด้วยบุญบารมีของครูบาอาจารย์และของข้าพเจ้า ใครที่มีบารมีแก่กล้า มีบุญมาก ขอให้เขาเหล่านั้น จงมานั่งสมาธิกับข้าพเจ้าด้วยเถิด” 
สักพักนึง…. เสียงประตูของห้องปฏิบัติธรรม ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เป็นช่วงๆ ไม่มีหยุด ผมรู้เลยว่า มีคนกำลังเดินเข้ามาทีละคน ทีละคน จนกระทั่งครบ 1 ชั่วโมงของการนั่งสมาธิ ผมจึงหันหลังกลับไปดู พบว่า มีคนมานั่งสมาธิกับผมเกือบเต็มห้อง …. ผมมีความสุขมาก ไม่ได้พูดอะไรกับทุกคนมากไปกว่า การขออนุโมทนาบุญกับทุกคน ที่มานั่งสมาธิกันในวันนี้ 
นี้คืออานุภาพของใจอันหนึ่งที่ หากนิ่งระดับหนึ่ง จะมีฤทธิชวนคนมาทำความดีได้ โดยไม่ต้องปริปากเรียก หรือง้อแต่อย่างใดเลย อัศจรรย์จริงๆเลยครับ

ตอนที่ 8 คลื่นแห่งความใส และขุ่นมัว (ตอนอวสาน)
แม้มาอยู่อเมริกา ผมก็หนีไม่พ้นการประสบกับฤทธิทางใจอ่อนๆ ที่พอเป็นกำลังใจในการอยู่ในเส้นทางบุญ และการเผยแผ่ธรรมะ นำความดี และความสุขที่แท้จริงมาสู่ชาวอเมริกันได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีหมดกำลังใจ หลายๆครั้งของเหตุการณ์คับขันในการทำงาน เช่น การไปติดต่องานราชการ งานรับของสนามบิน ของทางเรือ ที่ต้องพูดคุย ต่อรอง กับฝรั่ง ความที่ภาษาเรายังไม่ถึง ความรู้ในการติดต่องานไม่มากพอ มันทำให้ผมต้องเสียเวลาในการทำงานให้วัดมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ จะปักหลักพุทธศาสนา สร้างสันติสุขที่แท้จริงให้กับคนตะวันตก ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ และการฝึกฝนใจด้วยสมาธิ อย่างต่อเนื่อง ผมจึงไม่รู้สึกกลัวที่จะล้มเหลว หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ใจที่มีพลังเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ ใครจะรู้ว่าบุรุษเพียงคนเดียว นั่งสมาธิ คู้บัลลังก์ ไม่ยินดี ยินร้าย ต่อสิ่งใด ทำใจหยุดนิ่งเข้าไปในเส้นทางสายกลาง จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลก และผู้คน ให้รู้หนทางแห่งการพ้นทุกข์ สู่เส้นทางอันเป็นบรมสุขที่แท้จริง อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เราในฐานะผู้ที่กำลังเดินรอยตามท่าน จึงควรนำสิ่งที่ท่านทำ และสอน มาปฏิบัติให้ได้ แม้จะไม่ถึงกับหมดกิเลส แต่เราก็รู้วิธีให้พ้นจากกิเลส และพบความสุขได้ ในปัจจุบัน
เรื่องราวที่ผ่านมา เป็นแค่เรื่องราวเล็กๆ ที่ผมได้ประสบกับมหัศจรรย์ของใจ ที่แปรเปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นไปไม่ได้ หรืออุปสรรคต่างๆ ให้กลับกลายมาเป็นไปได้ และความสำเร็จ ด้วยการฝึกใจให้ใส นิ่ง เป็นสมาธิ อย่างต่อเนื่อง … มันจะเป็นเหมือนคลื่นแห่งความใส ความสำเร็จ ออกไปดึงดูด ความดีงาม ความใส ความสำเร็จ กลับมาหาเรา ในทางตรงกันข้าม หากใจไม่ใส ขุ่นมัว ไม่เป็นสมาธิ ก็จะส่งคลื่นขุ่นๆ ไปดึงเอาความขุ่นๆ ความไม่สำเร็จ อุปสรรคต่างๆนานา มาหาเรา ฉันนั้น
เอวังด้วยประการฉะนี้ ( จบบริบูรณ์ The End)
ผู้เขียน : Sophon Ruennakarn จาก facebook
https://www.facebook.com/sophon.ruennakarn
ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Cast Away จากภาพยนต์สู่เรื่องจริง : การต่อสู้ของมนุษย์เพื่อเอาชีวิตรอดกลางมหาสมุทร

ผมมีอะไรเล่าให้ฟัง กับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือน...สำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้

ฉันชื่อ "โอกาส"