คนเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน


          พระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงโปรดการประพาสทางเรือเสมอ คราวหนึ่งทรงรับสั่งให้จัดเรือขนาดย่อมซึ่งมีประทุนตรงกลาง มีฝีพายคอยคัดหัวเรือคนหนึ่ง ฝีพายท้ายเรือสองคน มีอำมาตย์คนสนิทติดตามคนหนึ่ง ถึงเวลาก็เสด็จออกจากวังล่องเรือไปตามลำคลองที่ร่มเย็นเป็นที่สบายพระราชหฤทัย
          หลังจากล่องเรือมาได้หลายชั่วโมง อากาศเริ่มร้อน ฝีพายเริ่มเหนื่อยอ่อน ฝีพายคนหนึ่งเกิดหงุดหงิดขึ้นมา จึงบ่นกับเพื่อนทำนองกระทบอำมาตย์ว่า
          “เอ็งดูซิวะ อำมาตย์คนนี้หนุ่มกว่าเราอีก ทำงานไม่กี่ปีก็ได้เป็นอำมาตย์ข้างที่แล้ว ซ้ำไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องพาย ไม่ต้องร้อน คอยแต่เพ็ดทูลอยู่ข้างที่ แสนสบายเสียจริง พวกเราเสียอีกทำงานเป็นฝีพายมาตั้งหลายปี ได้แต่ทำงานออกกำลัง ไม่ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งอะไรกับเขาเลย พวกเราก็คนเหมือนกันนะ เอ็งว่าไหม”
          พระเจ้าเสือทรงได้ยินคำฝีพายคนนั้นบอกเพื่อน แต่ก็ทรงทำเป็นไม่ได้ยินเสีย ปล่อยให้ระบายอารมณ์ไปเรื่อยๆ ตกเย็นถึงที่พักกลางทาง ซึ่งเป็นพลับพลามุงแฝกใต้ถุนโปร่งสูงแค่เอว ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ตกเช้าทรงรับสั่งให้หาฝีพายขี้บ่นมาเข้าเฝ้า ฝีพายตกใจด้วยคิดว่าที่ตนบ่นนั้นคงจะทรงได้ยินจึงรีบเข้าบนพลับพลาเห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพักตร์สบายพระทัยอยู่ก็ค่อยโล่งใจ
          “เออ เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ เพราะใต้ถุนพลับพลา มีเสียงอะไรก็ไม่รู้ดังทั้งคืน แกลองไปดูซิว่ามันเสียงอะไร”พระเจ้าเสือรับสั่งเรื่อยๆ
          ฝีพายรีบคลานออกมา โดดผลุงลงจากพลับพลาแล้วมุดเข้าไปใต้ถุน เห็นอะไรบางอย่างแล้วจึงรีบขึ้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ
          “หมามันออกลูก พระเจ้าข้า”
          “เออ แล้วลูกมันมีกี่ตัวล่ะ” ตรัสถามอีก
          ฝีพายรีบโดดลงมาแล้วมุดลงไปดู ทราบแล้วก็ขึ้นมากราบทูลว่าห้าตัว ทรงถามอีกว่าลูกมันตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว ฝีพายก็โดดลงไปอีกเป็นครั้งที่สามแล้วขึ้นมากราบทูลว่าตัวผู้สามตัว ตัวเมียสองตัว ตรัสถามอีกว่าแต่ละตัวสีอะไรบ้าง ฝีพายก็โดดลงไปใหม่เป็นครั้งที่สี่ แล้วขึ้นมากราบทูลว่าแต่ละตัวมีสีอะไรบ้าง
          พระเจ้าเสือทรงพยักพระพักตร์ แล้วรับสั่งให้ฝีพายคนนั้นไปตามอำมาตย์คนสนิทมาเฝ้า และให้ฝีพายมาพร้อมอำมาตย์ด้วย ฝีพายก็ไปปฏิบัติตามที่ทรงรับสั่ง เมื่ออำมาตย์มาแล้วฝีพายก็นั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
          “เออ เมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับ”พระเจ้าเสือตรัสเล่า เหมือนกับที่ตรัสกับฝีพาย แล้วรับสั่งว่า “ช่วยลงไปดูหน่อยซิว่าข้างล่างมันมีอะไร”
          อำมาตย์ก็ออกมาลงไปมุดดูที่ใต้พลับพลา สักครู่ก็ขึ้นมากราบทูลว่า
          “แม่หมาตัวหนึ่งมันมาตกลูกถึง ๕ ตัว เป็นตัวผู้ ๓ ตัว ตัวเมีย ๒ ตัว แต่ละตัวสีต่างๆกัน ตัวหนึ่งสีนี้ ตัวหนึ่งสีนั้น มีอยู่ตัวหนึ่งหางมันขอดด้วย พะย่ะค่ะ”
          พระเจ้าเสือทรงยินดีที่อำมาตย์ลงไปดูครั้งเดียว แต่ทราบรายละเอียดมากกว่าฝีพายซึ่งลงไปดูถึงสี่ครั้ง
          จึงทรงรับสั่งถึงฝีพายว่า
          เจ้าจะว่าอย่างไร เขาเหมาะที่จะเป็นอำมาตย์ไหม แล้วเจ้าล่ะเหมาะที่จะกินตำเหน่งอำมาตย์กับเขาไหม เพราะเจ้าก็เป็นคนเหมือนกัน”
          ฝีพายก้มหน้าไปพักหนึ่งแล้วคุกเข่าขึ้นถวายบังคม พลางกราบทูลว่า
          “เหมาะแล้วพระพุทธเจ้าข้า ส่วนข้าพระพุทธเจ้าก็เหมาะที่จะเป็นฝีพายเหมือนเดิม พ่ะย่ะค่ะ”
          เรื่องนี้สื่อความได้ว่า:…
    คนเราแม้จะเป็นคนเหมือนกัน คือมีหัว มีตัว มีแขน มีขา มีหน้าตา เหมือนกันและมีเท่ากัน แต่ก็ใช่ว่าจะได้รับการยกย่อง ได้รับการนับถือ ได้รับความไว้วางใจ หรือได้รับบำเหน็จรางวัลอะไรเหมือนกันไม่ เพราะคนเราจะเหมือนกันก็เพียงแต่ร่างกาย ส่วนสติปัญญา ความคิดความอ่าน ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ความขยันขันแข็ง และคุณธรรมต่างๆเช่น ความซื่อสัตย์ ความอดทน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความสำรวมระวัง เป็นต้น หาได้เท่าเทียมกันไม่
          ที่คนแตกต่างโดยยศศักดิ์บ้าง
          โดยฐานะบ้าง
          โดยความนิยมยกย่องบ้าง
          ก็เพราะความแตกต่างกันแห่งสติปัญญาเป็นต้น นั่นเอง
          คนเราจึงไม่ควรสำคัญตนผิด คิดเพียงแต่ว่า
          เป็นคนเหมือนกันย่อมเท่าเทียมกันทุกทาง
          เมื่อสำคัญตนผิดเช่นนี้
          ก็มักจะมองคนอื่นและมองโลกในแง่ร้าย
          ในแง่ไม่ยุติธรรม หรือในแง่ความไม่เท่าเทียม
          ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ความเครียด
          และความอิจฉาริษยาร้อนรุ่มกลุ้มใจโดยใช่เหตุ
          เพราะไม่ยอมรับความดีและความเด่นของใคร.

credit : http://www.pngoen.com/page17.html

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Cast Away จากภาพยนต์สู่เรื่องจริง : การต่อสู้ของมนุษย์เพื่อเอาชีวิตรอดกลางมหาสมุทร

ผมมีอะไรเล่าให้ฟัง กับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือน...สำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้

ฉันชื่อ "โอกาส"