นาฬิกาที่หายไป
ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้า ออกมาก็พบว่านาฬิกาพกของตน ได้หล่นหายไปเสียแล้ว นาฬิกาพกเรือนนี้มีความหมายต่อเขามาก ด้วยเป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ เขารีบวิ่งไปที่คอกม้ารื้อหาจนทั่วบริเวณแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็หาไม่พบ
เขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงได้คิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่แล้ว หูตาฝ้าฟางทำให้หาไม่เจอ แต่เด็กๆหูตายังแหลมคมน่าจะหาเจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็กๆมาแล้วบอกว่า " เด็กๆ ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้เงินคนนั้นหนึ่งเหรียญ "
เด็กๆ พากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า จนเวลาผ่านไปนานโข ตอนที่เด็กๆ เดินกลับออกมาจากคอกม้าทีละคนต่างก็มีสีหน้าผิดหวัง ที่หานาฬิกาพกไม่เจอ ขณะที่ชาวนากำลังถอดใจคิดจะเลิกหานั่นเอง ก็มีเด็กคนหนึ่งมากระซิบกระซาบบอกกับเขาว่า "ผมจะลองเข้าไปหาดูอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้น" ชาวนามองตามหลังเด็กชายไปอย่างไม่มั่นใจ คิดในใจว่า...พวกเราแทบจะพลิกคอกม้าหายังไม่เจอ...แล ้วลำพังเด็กคนเดียว จะหาเจอได้อย่างไร...
เด็กคนนั้นเข้าไปตั้งนานก็ยังไม่กลับออกมา ชาวนาเริ่มสิ้นหวังในขณะที่ชาวนาคิดจะเลิกรอและจากไป นั่นเอง เด็กชายคนนั้นก็เดินออกมาจากคอกม้าในมือของเขาถือนาฬ ิกาพกเรือนหนึ่ง ชาวนาถามด้วยความแปลกใจว่า "เจ้าหาเจอได้อย่างไร" เด็กชายบอกว่า "พอเข้าไปข้างใน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่นั่งเงียบๆ อยู่ที่พื้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก จากนั้นผมก็เดินตามเสียงไปแล้วผมก็เจอนาฬิกาเรือนนี้ "
ขณะที่เรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับชีวิตหรือหน้าที่การงาน
บางครั้ง ก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องทำใจให้สงบ เพื่อมาคิดตรึกตรองดูว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น ถูกต้องและเหมาะสมดีแล้วหรือเปล่า
และ นี่ก็อาจเป็นความหมายที่แท้จริงของคำโบราณที่ว่า ” บนเส้นทางของชีวิต บางครั้งก็ควรจริงจัง บางครั้งก็ควรผ่อนคลาย”
เครดิต : คุณวิทยา พัฒนพงษ์